re zero webnovel arc9 chapter36 แปลไทย

บทที่ 9 ตอนที่ 36 "ข้อพิจารณา"

เพทร่าก้มหัวขอโทษที่ออกอาการบ่อน้ำตาแตกก่อนหน้านี้ แต่ฝั่งเรมไม่ได้ถือสาอะไร เธอดีใจด้วยซ้ำที่ทั้งเพทร่าและรัมปลื้มปริ่มจนร้องไห้

รัมรำพึงที่เผลอหลุดแสดงด้านที่อ่อนแอและน่าสมเพชออกมา แต่ทั้งเรมและเอมิเลียต่างก็ช่วยกันปลอบใจเธอ ไม่มีใครมองว่ารัมขี้แยทั้งนั้น

รัม: เรม… ท่านเอมิเลีย… กระซิก

รัมแสร้งทำเป็นน้ำตาซึมด้วยการยกมือมาปิดตาและหันหน้าหนี เพทร่าจึงรีบท้วงทันทีเพราะเธอดูออกว่ารัมแค่ตั้งใจแกล้งเอมิเลียกับเรมเล่นเท่านั้น

เพทร่า: ตัวฉันเองก็อยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองชัยให้เรม… ให้ท่านพี่เรมอยู่หรอก แต่ตอนนี้ดันเป็นช่วงวิกฤตพอดี เพราะงั้นท่านพี่รัมก็ช่วยยั้งใจไว้ด้วยนะคะ

รัม: ยั้งใจงั้นเหรอ ถ้ามองอย่างผิวเผินก็ฟังดูสมเหตุสมผลอยู่หรอก แต่ทีตัวเพทร่าเองล่ะ?

ที่รัมทักขึ้นเช่นนั้นเป็นเพราะว่าปัจจุบันเพทร่ากำลังนั่งอยู่บนโซฟาโดยที่มีทั้งเอมิเลียและเรมประกบอยู่สองข้าง แถมเธอยังควงแขนสองสาวไว้ไม่ยอมปล่อย

เพทร่า: เอ๊ะ? อ้าว?

เมลี่: ไม่ต้องมา “อ้าว” เลยจ้า หลังจากที่กอดพี่เรมเสร็จ ก็ลากพี่เขาไปตรงนั้นเฉยเลยน้า แถมยังดึงพี่เอมิเลียไปด้วยอีกแน่ะ

เพทร่า: ขะ…ขออภัยด้วยค่ะ พอดีความรักใคร่ที่มีต่อทั้งสองคนมันพุ่งพล่านเกินไปหน่อย…

. ไม่แปลกเลยที่เรมจะสับสนว่าทำไมเพทร่าถึงรู้สึกผูกพันกับตัวเธอขนาดนี้ เนื่องจากความรู้สึกส่วนใหญ่ของเพทร่าได้รับอิทธิพลมาจาก [สุบารุ]

เพทร่า: ท่านพี่เรมกำลังยิ้มแบบเขินๆ ด้วย ดีงามเหลือเกิน…

เอมิเลีย: เพทร่าจังหูแดงแป๊ดเลยนะ ไม่สบายหรือเปล่า?

เพทร่า: อ๊ะ เปล่าค่ะ ไม่ได้นอกใจนะ… ยังไงท่านพี่เอมิเลียก็เป็นอันดับหนึ่งค่ะ

เอมิเลีย: เอ๊ะ? อา นั่นสินะ ลำดับความสำคัญในฝ่ายของฉันคืออันดับหนึ่ง เพราะงั้นก็เลยต้องทำตัวให้เหมาะสมล่ะเนอะ

เพทร่าพยายามสะกดใจตัวเองว่าอันดับหนึ่งในใจเธอคือสุบารุต่างหากและรีบลุกขึ้นยืน เพราะขืนปล่อยให้สองสาวประกบข้างต่อไป หัวใจเธอคงแตกเป็นเสี่ยงๆ

[สุบารุ] ที่ไม่มีใครมองเห็นแสดงความยินดีต่อการที่เรมได้รับความทรงจำคืนมาด้วยการหมุนตัวไปมารอบๆ ห้องรับแขก

เพทร่าด่า [สุบารุ] ว่า “คนเจ้าชู้” และตั้งใจจะเอาคืนด้วยการเหน็บเขาให้ยับหลังจากนี้ ฝั่ง [สุบารุ] จึงขอประท้วงเนื่องจากตัวเขาแตะต้องเอมิเลียหรือเรมมิได้ด้วยซ้ำ

. เรม: เข้าใจดีค่ะว่าเรื่องของเรมคงทำให้วุ่นวายกันพอสมควร แต่จะเป็นการดีมากถ้าช่วยสงบสติอารมณ์กันแค่นี้ก่อนค่ะ ――มาคุยเรื่องคนๆ นั้นกันเถอะค่ะ

เบื้องต้นคลินด์ได้เล่าสถานการณ์ให้สองแฝดฟังคร่าวๆ แล้ว พอได้มาเห็นสภาพนครหลวงพวกเธอก็ยิ่งเข้าใจถึงความเลวร้ายของสถานการณ์

รัมมองว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดของพวกตนทุกคน จริงอยู่ว่าตัวการคืออัล แต่ในความเป็นจริง ทุกอย่างมันมิได้เรียบง่ายเช่นนั้น

มีเพียงรัมกับปู่รอมที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ แต่รัมโยนให้ปู่รอมเป็นคนอธิบาย ยักษ์ชราจึงขยายความว่าทั้งฝ่ายเอมิเลียและฝ่ายเฟลท์จะถูกมองว่ามีส่วนผิดที่นครหลวงพังเสียหาย

สมาชิกทั้งสองฝ่ายล้มเหลวในการระงับเหตุที่หอสังเกตการณ์จนมันลุกลามมาถึงนครหลวง ต่อให้เอมิเลียจะปกป้องเมืองไว้ได้สำเร็จ แต่ต้นเหตุมันก็มาจากการที่ฝ่ายเธอปล่อยให้อัลก่อเรื่องอยู่ดี

ผู้คนมิได้มองที่ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว ต้นสายปลายเหตุเองก็มีส่วนส่งผลกระทบต่อมุมมองด้านบวกและด้านลบของประชาชนด้วย

เพราะงั้นการหยุดหินยักษ์จึงมิได้ทำให้คะแนนเสียงพุ่งกระฉูด มิเช่นนั้นไรน์ฮาร์ดคงเรียกคะแนนเสียงให้ฝ่ายเฟลท์ได้รัวๆ จากการรอปกป้องเมืองอยู่เฉยๆ ไปแล้ว

หนทางเดียวที่ฝ่ายเอมิเลียและฝ่ายเฟลท์จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงได้ คือทั้งสองฝ่ายต้องเป็นคนหยุดยั้งอัลเดบารันด้วยมือตนเอง

ปู่รอมเน้นย้ำว่าพวกตนต้องห้ามปล่อยให้คนอื่นหรือราชอาณาจักรแย่งผลงานไปอย่างเด็ดขาด เนื่องจากรากฐานของการคัดสรรกษัตริย์กำลังสั่นคลอนอยู่

ในสถานการณ์ที่ [มังกรเทพ] ย้ายข้างไปเป็นศัตรูของประเทศ ถ้าหากสตรีร่างทรงมังกรมิอาจกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ การคัดสรรกษัตริย์ก็จะไร้ความหมายไปโดยปริยาย

ดังนั้น ผู้มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ที่จะได้เกี่ยวพันกับสนธิสัญญามังกรและศิลาจารึกมังกรในอนาคตจึงสมควรเป็นผู้ที่หยุดยั้งอัลเดบารันด้วยมือตนเอง

. คำพูดของยักษ์ชราผู้กร้านโลกทำให้ทุกคนตระหนักถึงความหนักหน่วงของสถานการณ์

อุบัติการณ์ครั้งนี้ไม่ได้จบลงแค่การปกป้องมิให้โลกถูกทำลาย มันต้องยุติลงในรูปแบบที่การคัดกษัตริย์จะสามารถเดินหน้าต่อได้ด้วย

เรมรำพึงว่าเธอมีเรื่องมากมายที่อยากขอบคุณและขอโทษสุบารุ โดยเธอรู้สึกซาบซึ้งใจต่อมอร์นิ่งสตาร์ที่สุบารุคอยขัดเงาให้ทุกวันมากเป็นพิเศษ

ทั้งเรมและรัมต่างเข้าใจผิดว่าการสัมผัสมอร์นิ่งสตาร์คือสาเหตุที่เรมได้รับ [ชื่อ] และ [ความทรงจำ] คืนมา เนื่องจากพวกเธอมิได้ล่วงรู้ถึงการกระทำของ[ตะกละ]

เอมิเลีย: คือว่านะ เรม อยากให้ใจเย็นลงแล้วตั้งใจฟังก่อน…

เรม: อย่าได้กังวลไปเลยค่ะ ท่านเอมิเลีย ด้วยมอร์นิ่งสตาร์อันนี้ เรมจะเป็นกำลังในการช่วยพาตัวสุบารุคุงกลับมาให้จงได้เลยค่ะ หลังจากนั้นแล้ว ทั้งเรื่องจักรวรรดิเอย เรื่องจากนี้ไปเอย มีเรื่องที่อยากคุยด้วยอยู่เพียบเลย…

ปัจจุบันทุกคนยังต้องรอคลินด์พาตัวรอสวาลมารวมกลุ่มด้วย เพทร่าจึงปล่อยให้การอธิบายเรื่อง [ตะกละ] เป็นหน้าที่ของเอมิเลีย

เพทร่าถือโอกาสถามข้อมูลจากปู่รอมผู้เคยปะทะกับอัลโดยตรงมาแล้วที่ทุ่งราบ ยักษ์ชราเกริ่นก่อนว่าเขาไม่ได้อยากกั๊กข้อมูลไว้ แต่กลัวว่าบอกไปจะไม่มีใครเชื่อ

กระนั้นเพทร่าก็เชื่อมั่นในตัวเขาอย่างสุดใจ เธอรู้ดีว่าปู่รอมห่วงใยเฟลท์ที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันจริงๆ คำพูดของเขาจึงน่าเชื่อถืออย่างแน่นอน

รอม: เดี๋ยวต้องเอาเรื่องนี้ไปบอกพวกเอมิเลียด้วยล่ะน่อ… ดูเหมือนว่าไอ้เจ้าอัลเดบารันนั่นจะใช้งานวิชากลโกงที่เรียกว่าอำนาจ

【สุบารุ: ――อำนาจ】

พวกเพทร่าพึ่งได้ยินคำศัพท์นี้มาจากคลินด์ แต่มันเกี่ยวข้องกับบุคคลสุดเลวร้ายอย่างบิชอปมหาบาป [เกียจคร้าน] หรือ [แม่มดแห่งโลภะ] ด้วยเช่นกัน

มันคือสิทธิ์พิเศษสุดแกร่งที่สามารถแทรกแซงโลกใบนี้ หักล้างแนวคิด และเขียนแก้กฎเกณฑ์ได้ตามใจอยาก ปู่รอมมั่นใจว่าอัลถือครองพลังนี้เนื่องจาก…

รอม: ――ดูเหมือนว่าเจ้านั่นจะสามารถย้อนเวลากลับไปยังอดีตที่ล่วงเลยมาแล้วได้ แต่ว่าย้อนกลับไปได้ไม่ค่อยไกลล่ะนะ

. “สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ตัวเราควรจะต้องทำคืออะไรกันแน่นะ”

นั่นคือ [ข้อพิจารณา] ที่เฟลท์เฝ้าคิดทบทวนมาตั้งแต่วัยเยาว์ตราบจนถึงปัจจุบันที่เธอถูกกลุ่มอัลบารันจับมาเป็นตัวประกัน

เฟลท์กล้ำกลืนความรู้สึกขุ่นเคืองไม่พอใจพลางเขมือบเนื้อแห้งเค็มปี๋ที่เป็นมื้อเย็น ดูท่าว่ารสนิยมเรื่องอาหารของเธอจะติดหรูขึ้นจากแต่ก่อน

พึ่งจะแยกห่างกันแค่สองวันครึ่งแท้ๆ แต่เฟลท์เริ่มคิดถึงอาหารฝีมือแฟรมกับกราซิสซะแล้ว กระทั่งอาหารปรุงรสจัดที่เอซโซ่กับราจินส์ทำเป็นบางครั้งยังอร่อยกว่าเนื้อแห้งนี่

สองแฝดไม่ค่อยชอบให้ไรน์ฮาร์ดทำอาหารสักเท่าไหร่ แต่ตอนที่เฟลท์แอบอนุญาตให้เขาทำของหวาน ฝีมือของไรน์ฮาร์ดก็สุดยอดใช้ได้เลย

ในทางกลับกันฝีมือทำอาหารของเฟลท์กับปู่รอมนั้นห่วยแตกมาก ถือว่าโชคดีที่ทั้งคู่รอดตายจากอาการอาหารเป็นพิษมาได้นานเป็นสิบปี

บางทีเฟลท์ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าส่วนสูงของเธอมันไม่เพิ่มเพราะสาเหตุนี้หรือเปล่า แต่ในเมื่อเฟลท์ทำอาหารไม่ได้ แล้วตอนนี้เธอควรทำอะไรดี?

. ปัจจุบันกลุ่มของอัลเดบารันมิได้มุ่งหน้าตรงไปยังปากปล่องใหญ่โมโกเลดเลย แต่กำลังย้ายฐานทัพไปมาเพื่อพักผ่อนจากความเหนื่อยล้า

ทว่า นักสะกดรอยผู้ไร้ปรานี “ออตโต้ ซูเวน” ได้ใช้ [พรคุ้มครองประกาศิต] บ่อนทำลายโอกาสพักผ่อนของกลุ่มอัลเดบารันอย่างไม่หยุดหย่อน

สิงสาราสัตว์ทั้งนก แมลง สัตว์ป่า และปลาคอยก่อกวนพวกอัลจนมิได้พัก อาหารและน้ำก็ปนเปื้อนจนกินไม่ได้ เฟลท์จึงตระหนักได้ว่าออตโต้เป็นตัวอันตรายอย่างน่าเหลือเชื่อ

แน่นอนว่าเฟลท์โดนลูกหลงไปด้วย แต่เธอก็ยอมรับผลลัพธ์เช่นนั้นได้ ถึงอย่างไรเฟลท์ก็ยอมติดตามกลุ่มอัลมาเพื่อเหนี่ยวรั้ง [มังกรเทพ] ไว้อยู่แล้ว

กระนั้นเฟลท์ก็ยังคงเจ็บใจที่ตนเองเหนี่ยวรั้งพลังของวอลคานิก้าไว้ได้เพียงแค่ 1 ใน 10 ในช่วงศึก [มังกรเทพ] ปะทะ [อสูรดาบ]

เท่านี้มันยังไม่เพียงพอ เพราะงั้นเฟลท์จึงต้องไตร่ตรอง [ข้อพิจารณา] ในหัวต่อไปว่าตัวเธอจะสามารถทำประโยชน์อะไรได้อีกบ้าง ถ้าหากปู่รอมต้องปะทะกับกลุ่มอัลอีกรอบ

. ในระหว่างที่สมาชิกกลุ่มคนอื่นกำลังตรวจความปลอดภัยของพื้นที่ เฟลท์ได้ถูกทิ้งไว้ตรงหน้าถ้ำที่เกิดตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง

เฟลท์จึงอยู่ตามลำพังกับคนเฝ้าผู้เอาแต่นั่งกอดฝักดาบและก้มหน้าก้มตาอยู่เงียบๆ ที่อีกฟากของกองไฟ ไฮน์เคลนั่นเอง เขาไม่ยอมแตะต้องน้ำและอาหารด้วยซ้ำ

การปฏิเสธโลกภายนอกของชายผมแดงทำให้เฟลท์หงุดหงิด เธอจึงลองเหน็บดูว่าถ้าหากเขาไม่อยากกินเนื้อแห้งก็ส่งมาซะ แต่กลายเป็นว่าไฮน์เคลโยนเนื้อแห้งให้เธอจริงๆ

ในเมื่ออีกฝ่ายยังตอบสนองต่อสิ่งรอบตัวอยู่ เฟลท์จึงถือโอกาสยิงคำถามว่าทำไมไฮน์เคลถึงเข้าไปสอดการต่อสู้ระหว่าง [มังกรเทพ] กับ [อสูรดาบ]

การที่ไฮน์เคลเข้าไปขัดแปลว่า [มังกรเทพ] คือฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบ แต่เฟลท์ติดใจตรงที่เป้าหมายของไฮน์เคลคือ [โลหิตมังกร]

เฟลท์: ถ้าหากมังกรตายไป ก็จะได้เลือดมาครองแล้วแท้ๆ แต่นายกลับเข้าไปขัดขวาง ทำไมกันล่ะ?

ทีแรกเฟลท์นึกว่าไฮน์เคลแค้นบิดาฝังหุ่นจนอยากเข้าไปแทง แต่แล้วไฮน์เคลเองนี่แหละที่เป็นขอให้ [มังกรเทพ] ช่วยรักษาวิลเฮล์มก่อนที่พวกตนจะบินหนีออกมา

นั่นแปลว่าไฮน์เคลมิได้ปรารถนาให้ทั้ง [มังกรเทพ] และ [อสูรดาบ] เสียชีวิตในศึกครั้งนั้น

. เฟลท์: มันย้อนแย้งกันไปหมด นายน่ะคิดจะทำอะไรกัน――

ไฮน์เคล: พล่ามมากเสียเหลือเกินนะ ยัยเด็กเปรต

ก่อนที่เฟลท์จะพูดจบประโยค ร่างของเธอก็ถูกกดลงกับพื้นพร้อมกับถูกปลายดาบยื่นมาจ่อลำคอ ที่เบื้องหน้าเฟลท์ในตอนนี้คือไฮน์เคลที่ตาแดงก่ำ

ไฮน์เคล: ถ้าไม่อยากเจ็บตัว ก็หุบปากไป ――อ่อก!?

เฟลท์ผู้ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อยต่อยสวนใส่เต็มดั้งของไฮน์เคลจนอีกฝ่ายผงะ จากนั้นเธอก็อาศัยช่องโหว่นั้นถีบหน้าอกซ้ำให้ไฮน์เคลล้มก้นกระแทก

เฟลท์เก็บดาบของไฮน์เคลขึ้นมา แต่เธอตระหนักได้ว่าตนเองไม่มีวันชนะไฮน์เคลได้อยู่แล้ว สุดท้ายเฟลท์จึงโยนดาบคืนให้แก่ไฮน์เคลที่ยังคงมีสีหน้าฉงน

ถ้าหากทั้งสองต่อสู้กัน แล้วไฮน์เคลพลั้งมือสังหารเฟลท์ทิ้ง ทุกอย่างจะเข้าทางยาเอะผู้ต้องการกำจัดทั้งเฟลท์และไฮน์เคลทิ้งอยู่แล้ว

เฟลท์จะไม่ยอมเป็นลูกไก่ในกำมือยาเอะอย่างเด็ดขาด แถมหน้าที่การอัดไฮน์เคลให้น่วมมันควรจะเป็นของไรน์ฮาร์ดมากกว่าเธออยู่แล้ว

. เพียงแค่พูดถึงชื่อไรน์ฮาร์ด ไฮน์เคลก็ทั้งสะดุ้งและสั่นกลัวอย่างไม่สมวัยแล้ว ดังนั้น เฟลท์จึงตั้งใจจะสืบหาต้นตอของท่าทีน่าสมเพชนี้

เฟลท์: เหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่ต้องตอบอะไรมาก็ได้ ชั้นจะพูดคนเดียวแล้วก็จะปะติดปะต่อเรื่องราวเอาเอง

ว่าแล้วเฟลท์จึงปัดฝุ่นจากเสื้อผ้าและเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่มีดวงดาวส่องประกายอยู่เต็มฟากฟ้าพลางเค้นสมองใช้ความคิด

เฟลท์นึกขึ้นได้ว่านอกเหนือจากเรื่อง [โลหิตมังกร] แล้ว ไฮน์เคลยังมีพฤติกรรมย้อนแย้งอยู่อีกอย่างคือท่าทีที่เขามีต่อ [ตะกละ]

ไม่ว่าใครก็ย่อมต้องไม่ถูกชะตากับบิชอปมหาบาปรอย อัลฟาร์ดผู้ถูกอัลเดบารันปล่อยตัวออกมาจากเรือนจำอยู่แล้ว แต่ไฮน์เคลควรจะมีเหตุผลให้เกลียด [ตะกละ] ยิ่งกว่าใคร

เนื่องจากว่า “ลูอันน่า แอสเทรอา” ผู้เป็นมารดาของไรน์ฮาร์ดและภรรยาของไฮน์เคลตกอยู่ในสภาพ [เจ้าหญิงนิทรา] ไม่ต่างจากเหยื่อของ [ตะกละ] เลย

เท่าที่เฟลท์ทราบ ภรรยาของไฮน์เคลหลับใหลมาเกินกว่าสิบปีแล้ว โดยที่ไม่มีอะไรช่วยรักษาเธอได้สักอย่าง ไฮน์เคลจึงต้องหวังพึ่ง [โลหิตมังกร]

แต่เรื่องการแก้แค้นล่ะ? ไฮน์เคลจะไม่แค้นเคืองตัวการที่ทำให้ภรรยาของเขาหลับใหลไปเป็นสิบปีสักหน่อยเลยหรือไงกัน?

. ตั้งแต่ที่ดัชเชสครูช คาร์สเทนถูกเล่นงาน รวมทั้งเหตุการณ์ที่นครประตูน้ำพริสเทล่า สาธารณชนก็เริ่มตระหนักได้ว่าผู้ป่วยโรค [เจ้าหญิงนิทรา] แท้จริงแล้วคือเหยื่อของอำนาจบาป [ตะกละ]

ไฮน์เคลควรจะได้ทราบเรื่องนั้นแล้ว แต่เขากลับมีท่าทีเฉยเมยต่อ [ตะกละ] อย่างเจ้ารอยที่ควรจะเป็นตัวการเบื้องหลังการหลับใหลของภรรยา

นี่เป็นเพราะการ [โลหิตมังกร] มันสำคัญกว่าอย่างงั้นเหรอ? หรือการแทงบิดาตนเองจนเลือดท่วมทำให้เขาสติแตกจนไม่มีเวลามาใส่ใจเรื่องอื่น?

เฟลท์ร่ายยาวทฤษฎีของตนและคอยสังเกตท่าทีของไฮน์เคลผู้ที่กำลังตื่นตระหนกจนมือที่กุมดาบสั่นเทาโดยที่ไม่จำเป็นต้องให้เขาตอบอะไรสักคำ

ภายในดวงตาของไฮน์เคลยังคงมีประกายเพลิงที่ไม่ยอมดับมอดอยู่ มันคือความรุ่มร้อนที่เป็นปัจจัยหลักเบื้องหลังการกระทำทุกอย่างของเขา

เฟลท์: สาเหตุที่ [ตะกละ] ไม่ได้อยู่ในสายตานายเลยเป็นเพราะนายรู้ดีว่า [ตะกละ] ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหลับใหลของภรรยา เพราะรู้อยู่แล้วว่ามันผิดประเด็น ก็เลยไม่ได้หันคมดาบใส่ แต่ว่า

อาการ [เจ้าหญิงนิทรา] ของลูอันน่า แอสเทรอามันต่างจากกรณี [เจ้าหญิงนิทรา] รายอื่น เนื่องจากทั้งไรน์ฮาร์ดและไฮน์เคลยังคงจดจำเธอได้

ดังนั้น ลูอันน่า แอสเทรอาจึงมิใช่เหยื่อของ [ตะกละ] ไฮน์เคลตระหนักถึงข้อเท็จจริงนั้นอยู่แล้ว แต่กลับไม่ยอมปริปากบอกใครเลย

ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าต้นเหตุที่ทำให้ลูอันน่าหลับใหลเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีผู้ใดได้รับรู้เป็นอันขาด เนื่องจากว่าสาเหตุนั้นก็คือ――

เฟลท์: ――ไรน์ฮาร์ด

ไฮน์เคล: …

ดวงตาที่เบิกกว้าง สีหน้าของคนที่อ้ำอึ้งพูดไม่ออก และลมหายใจที่ขาดห้วงไร้ชีวิตชีวาคือคำตอบที่ชัดเจนยิ่งเสียกว่าอะไร

สิ่งที่ตัวเธอควรจะต้องทำก็คือการหาคำตอบของ [ข้อพิจารณา] นี้ แต่มันดันนำไปสู่ข้อเท็จจริงแสนขมขื่น

เฟลท์: ――คนที่ทำให้แม่ของไรน์ฮาร์ดหลับไปก็คืออีตาไรน์ฮาร์ดเองงั้นเรอะ

. จบตอน