re zero webnovel arc9 chapter38 แปลไทย

บทที่ 9 ตอนที่ 38 "ถูกแผดเผาโดยดวงตะวัน"

เรมรับช่วงต่อการอธิบายหลักการของอำนาจ [ย้อนเวลา] ที่อัลเดบารันถือครองอยู่โดยเลือกยกตัวอย่างสถานการณ์สมมุติที่เอมิเลียดวลกับการ์ฟีล

ถ้าหากเอมิเลียรู้การเคลื่อนไหวของการ์ฟล่วงหน้า เธอก็จะสามารถหลบและสวนกลับจนการ์ฟร้องไห้เป็นเด็กน้อยหรือจะหลบไปเรื่อยๆ จนการ์ฟจิตใจแตกสลายไปเองก็ได้

คำอธิบายของเรมช่วยให้เอมิเลียเข้าใจภาพรวม แต่เธอยังแอบมึนการยกตัวอย่างที่เอาการ์ฟีลมาแกงเป็นกระสอบทราย โชคดีที่เจ้าตัวยังหลับปุ๋ยอยู่

การพูดถึงการ์ฟีลทำให้เรมรู้สึกขมขื่น ตอนนี้เธอจำได้แล้วว่าสมัยเด็กเคยเป็นอริกับเขาเนื่องจากการ์ฟีลหลงรักรัมข้างเดียวแบบหัวปักหัวปำ

กระนั้นพอได้เห็นความพยายามและการเติบโตของการ์ฟที่จักรวรรดิ เรมก็เริ่มรู้สึกผิดที่เคยไม่ชอบขี้หน้าเขา แถมยังแอบเผาลับหลังไม่ต่างจากแต่ก่อน

หลังจากที่ตื่น เขาคงจะโทษตัวเองอย่างหนักที่ปกป้องสุบารุไม่สำเร็จ เพราะงั้นนี่จึงไม่ใช่เวลามาหวงพี่สาว เรมควรปล่อยให้รัมไปปลอบใจการ์ฟีล

ถึงอย่างไร การจะช่วยเหลือ “คนๆ นั้น(สุบารุ)” ก็จำเป็นต้องพึ่งพาการ์ฟีลที่ฟื้นตัวกลับมาพร้อมเต็มร้อยด้วย

. เรมตระหนักได้ว่าสมัยก่อนเธอมีเพื่อนน้อยมาก หากเทียบกันแล้วตัวเธอตอนที่ความจำเสื่อมยังเข้าหาคนอื่นเก่งกว่า ถึงได้สนิทกับคาชัวและพวกมิเซลด้า

ทว่า เธอในตอนนั้นดันเอาแต่ผลักไสสุบารุที่พยายามทุ่มเทเอาใจใส่อยู่เคียงข้างตลอดเวลา ทำเอาเรมอยากที่จะบีบคอตัวเองให้รู้แล้วรู้รอด

ถ้าหากสุบารุมองตาแล้วพูดกันตรงๆ ตัวเธอที่ไร้ความทรงจำก็อาจจะยอมรับฟัง กระนั้นเรมก็ตระหนักได้ว่าตัวเองนี่แหละที่เอาแต่ปฏิเสธเขา

เรม: ก่อนอื่น ต้องแก้ไขสถานการณ์นี้ให้เรียบร้อยก่อนค่ะ แล้วหลังจากนั้น เพื่อที่จะแสดงให้สุบารุคุงเห็นว่าเรมซาบซึ้งใจแค่ไหน ฉันจะหักนิ้วตัวเองเลย …ตามนั้นละกันค่ะ

เพทร่า: …ถึงจะทำแบบนั้นไป สุบารุเขาก็ไม่เห็นดีด้วยหรอกนะ เผลอๆ ก็อาจจะหัวใจวายตายเลยล่ะ เพราะงั้นอย่าหาทำเลยนะ

เรม: อ๊ะ คุณเพทร่า…

เพทร่าเตือนสติเรมว่าการทำร้ายตัวเองให้รู้สึกสบายใจขึ้นหรือเพื่อคลายความรู้สึกผิดนั้นมิใช่สิ่งที่สุบารุต้องการเลย

เพราะว่าสุบารุอยากให้เรมมีความสุขทดแทนช่วงเวลาที่หลับไปต่างหาก

สีหน้าอ่อนโยนและคำสั่งสอนของเพทร่าชวนให้เรมหวนนึกถึงคำพูดของสุบารุในยามเช้าหลังเหตุการณ์สัตว์มารที่หมู่บ้านอารัม

สุบารุในตอนนั้นกับเพทร่าตรงหน้าเรมมีความคล้ายคลึงจนแทบจะเป็นภาพซ้อนกัน เรมจึงอนุมานว่านี่คืออิทธิพลที่สุบารุมีต่อคนรอบตัว

. เพทร่าย้ำเตือนอีกครั้งว่าถ้าหากเรมหักนิ้วตัวเอง เพทร่าก็จะหักนิ้วของเธอตามเพื่อแบ่งเบาความรับผิดชอบด้วย วิธีการห้ามปรามแบบนั้นช่างเหมือนสุบารุเหลือเกิน

เรมตระหนักได้ว่าในปัจจุบันเพทร่าน่าจะเข้าใจสุบารุมากกว่าเธอไปเสียแล้ว แต่ก็น่าแปลกใจที่ตัวเธอมิได้รู้สึกอิจฉาหรือริษยาเพทร่าเลย

เรม: ――อำนาจ…ของคุณอัลเดบารัน …หรือว่าคนๆ นั้นเองก็?

อีกประเด็นที่คาใจเรมอยู่คืออำนาจแสนน่าสะพรึงกลัวที่สามารถส่องดูอนาคตและหลีกเลี่ยงผลลัพธ์ที่ไม่ต้องการได้ด้วยการย้อนเวลากลับ

พอคำนึงถึงไอพิษที่สุบารุมักปล่อยออกมาอยู่เสมอ ไอพิษที่บางครั้งจะหนาแน่นจนปกคลุมทั่วร่างเขา ความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ราวกับรู้ล่วงหน้าของเขา

จำนวนผู้คนที่เขาเคยช่วยให้รอดตายแบบหวุดหวิดมาได้ รวมถึงตัวเรมเองด้วย ไหนจะการมีอยู่ของอำนาจที่สามารถแหกกฎเกณฑ์ได้

เมื่อนำปัจจัยเหล่านั้นมาวิเคราะห์รวมกัน เรมก็อดสงสัยมิได้ว่าเด็กหนุ่มนามนัตสึกิ สุบารุอาจจะเป็นผู้ครอบครองอำนาจแสนทรงพลังเช่นเดียวกับอัลเดบารัน

เรม: แต่แล้ว กลับเอาแต่ใช้มันเพื่อช่วยเหลือคนอื่น …ช่างเป็นคนที่เสียสละอะไรขนาดนี้

ถ้าหากสุบารุสามารถแก้ไขเหตุการณ์ใดๆ ก็ได้ตามใจชอบ การที่เขาไม่ยอมเปลี่ยนผลลัพธ์ที่ถูกเรมหักนิ้ว แสดงให้เห็นว่าสุบารุไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัวขนาดไหน

พอตระหนักถึงความใจจริงนั้นได้ เรมก็อยากที่จะหักนิ้วตัวเองอีกรอบเพื่อที่จะได้แบ่งปันความเจ็บปวดร่วมกัน เพทร่าจึงต้องลำบากคอยห้ามปรามอีกรอบ

. สาเหตุที่เอมิเลียหรือรัมมิได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้ที่สุบารุจะมีพลัง [ย้อนเวลา] แบบเดียวกับอัลนั้น ไม่ได้เป็นเพราะว่าเรมเข้าใจสุบารุดีกว่าพวกเธอ

ตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เป็นเพราะว่าพวกเอมิเลียได้เห็นความทุ่มเทของสุบารุอย่างต่อเนื่องนั่นแหละ พวกเธอถึงมิได้กังขาผลลัพธ์จากน้ำพักน้ำแรงของเขาเลย

กลับกันเรมที่หลับไปนานสามารถมองเห็น “ช่องว่าง” ความแตกต่างระหว่างผลงานของสุบารุคนปัจจุบันกับสุบารุที่เธอเคยรู้จักอย่างชัดเจน

พอรวมเข้ากับความสามารถเฉพาะของเผ่าโอนิในการสัมผัสไอพิษ เรมจึงเป็นคนเดียวที่ตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้ได้

เรม: ในเมื่อเราเข้าใจแล้ว …ท่านพี่!

คลินด์: ――กลับมาแล้วขอรับ ‘ล่าช้า’

ตอนที่เธอกำลังจะไปเล่าการค้นพบใหม่ให้เอมิเลียกับรัมฟังนั้นเอง คลินด์ก็ได้เทเลพอร์ตพา “รอสวาล” เจ้านายผู้มีพระคุณของเรมกลับมาด้วยกันพอดี

เอมิเลียเข้าไปต้อนรับรอสวาลพร้อมผายมือไปทางเรม ฝั่งเรมจึงถือโอกาสนั้นถอนสายบัวและกล่าวต้อนรับรอสวาลอย่างสมเกียรติในฐานะเมด

รอสวาลอึ้งไปชั่วขณะ แถมยังมีอาการวิงเวียนตามมาจนรัมรีบเข้าไปประคอง นั่นเป็นเพราะ [ความทรงจำ] เกี่ยวกับเรมหวนกลับมาโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง

รอสวาล: ――ขอต้อนรับกลับบ้านนะ เรม หลังจากที่สถานการณ์นี้คลี่คลายลงแล้ว ไว้มาคุยเรื่องในคฤหาสน์ช่วงที่เธอไม่อยู่กันดีหมาย~ …โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับรัมน่ะ

เรม: ค่ะ ขอตั้งตาคอยอย่างสุดหัวใจเลย

. ก่อนที่เรมจะทันได้ปรึกษารอสวาลเรื่องการค้นพบใหม่เกี่ยวกับพลังของสุบารุ เพทร่าก็ดึงแขนเสื้อเธอและชิงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปถามเรื่องเฟรเดริก้า

รอสวาลแจ้งว่าเขาได้มอบหมายให้เฟรเดริก้าอยู่ดูแลชูลท์ต่อ เนื่องจากคลินด์ขออาสาทำหน้าที่แทนบทบาทที่รอสวาลตั้งใจจะให้เฟรเดริก้าทำ

พอเอมิเลียพารอสวาลไปแนะนำตัวกับปู่รอมเพื่อหารือเรื่องกลยุทธ์ เพทร่าก็ถือโอกาสนั้นกวักมือเรียกเรมเพื่อแอบสนทนากันเพียงลำพัง

เพทร่า: …นี่หรือว่า ท่านพี่เรมเองก็เอะใจเรื่องของสุบารุแล้วใช่ไหม?

เรม: ――! ในเมื่อพูดแบบนั้น แสดงว่าคุณเพทร่าเองก็รู้ว่าอำนาจของสุบารุคุง…

เพทร่า: ห้ามพูดมากไปกว่านั้นเด็ดขาดเลย …เพราะว่า [แม่มด] อาจจะได้ยินเข้าก็ได้ล่ะนะ

พอเพทร่าชูนิ้วขึ้นมาจ่อปาก เรมก็ถึงกับพูดไม่ออก ชัดเจนเลยว่าเพทร่ารู้ข้อมูลเกี่ยวกับพลัง [ย้อนเวลา] ของสุบารุมากยิ่งกว่าเรมเสียอีก

ตัวเพทร่าเองก็ยังไม่แน่ใจเรื่องเงื่อนไขและข้อห้ามมากนัก แต่ที่แน่ๆ ก็คือการหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงพลังนั้นน่าจะช่วยให้ปลอดภัยกว่า

เรมแอบเสียใจที่เธอไม่สามารถเปิดเผยความสำเร็จของสุบารุให้คนอื่นรู้ได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยสนใจเรื่องพรรค์นั้นอยู่แล้ว

เพทร่า: ท่านพี่เรม ขอรบกวนอะไรอย่างหนึ่งได้ไหมคะ ท่านพี่เรมน่ะ ถ้าเพื่อสุบารุแล้วล่ะก็ พร้อมจะทำได้ทุกอย่างเลยไหมคะ?

พอเพทร่ายิงคำถามนั้นด้วยน้ำเสียงเบาบางเพื่อมิให้คนอื่นได้ยิน เรมก็แอบสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นจากอีกฝ่ายทำนองว่า [ตัวฉันน่ะทำได้]

เรม: ค่ะ แน่นอนอยู่แล้ว ――เพราะว่าฉันน่ะ คือเรมของสุบารุคุงนี่นา

เพราะงั้นเรมจึงตอบกลับไปเช่นนั้นอย่างไม่ลังเล

. อัล: อาหารค่อยไปหาเอาดาบหน้า ส่วนน้ำเลียเอาจากน้ำแข็งที่สร้างจากอากาศเยือกแข็งก็พอได้อยู่ …แต่การถูกรบกวนเวลานอนนี่มันโหดหินชะมัดยาด

ตัดไปทางกลุ่มของอัลเดบารันที่ถูกตามรังควานอย่างต่อเนื่อง มันเป็นการรังควานที่ไม่หนักพอที่จะบีบให้ต้องปะทะอีกฝ่าย แต่ก็น่าทั้งน่ารำคาญและชวนให้ท้อแท้

มิหนำซ้ำนานๆ ทีก็จะมีภัยอันตรายของจริงปะปนมาด้วยอย่างเหตุก้อนหินหล่นที่เหมืองหิน พวกอัลจึงถูกบีบให้ต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

อัลรู้ซึ้งแล้วว่าฉายา “เจ้าหน้าที่กิจการภายในสายบู๊” ของออตโต้ ซูเวนมิได้ตั้งขึ้นมาเล่นๆ เขาประเมินความอันตรายของออตโต้ในยามวิกฤติผิดพลาดไปเอง

เรื่องน่าปวดหัวยังไม่หมดแค่นั้น เพราะล่าสุดกลุ่มอัลได้เกิดปัญหาภายในขึ้นระหว่างเฟลท์กับไฮน์เคล ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะเฟลท์มิใช่สมาชิกดั้งเดิม

ดูเหมือนว่าเฟลท์จะถลำตัวเผลอไปล้วงลึกเรื่องส่วนตัวของไฮน์เคลที่สภาพจิตใจยังไม่ค่อยคงที่มากเกินไป จนเธอหวิดต้องถึงคราวสิ้นชีพ

ไม่สิ ที่จริงแล้วเฟลท์จบชีวิตไปหลายครั้งเลยด้วยซ้ำ ถ้าหากอัลเดบารันมิได้ใช้ [อาณาเขต] ย้อนเหตุการณ์ใหม่ ความตายของเฟลท์คงจะกลายเป็นผลลัพธ์ถาวร

ขืนเป็นเช่นนั้น [อัลเดบารัน] คงจะพิโรธ ซึ่งจะส่งผลให้ไฮน์เคลไม่ปลอดภัยและเสี่ยงทำให้สัญชาตญาณของ [มังกร] หักล้างผลจาก [คัมภีร์ผู้วายชนม์] ได้

เพราะงั้นอัลจึงตัดสินใจชิงตัดจบการสนทนาระหว่างไฮน์เคลกับเฟลท์ แต่เขาก็รู้ดีว่านั่นเป็นเพียงการแก้ปัญหาแบบชั่วคราว

. ณ ปัจจุบันอัลเดบารันมิอาจปล่อยให้ไฮน์เคลกับเฟลท์อยู่กันตามลำพังได้อีกต่อไป แต่เขาก็ไม่ไว้ใจให้คนอื่นนอกจากยาเอะเป็นผู้จับตาดูรอย

อัลเหมือนถูกบีบให้แก้ควิซลับสมองทำนอง “จงหาวิธีพาแพะกับหมาป่าข้ามฝั่งแม่น้ำ” ทั้งที่เขาไม่ถนัดและไม่อยากเปลืองพื้นที่สมองมาเล่นพัสเซิลแนวนั้นเลย

ยาเอะ: ――จะท่านไฮน์เคลหรือท่านเฟลท์ก็ได้ แค่เลือกตัดทิ้งไปสักคน ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นแล้วนี่คะ?

อัล: ――ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกว้อย ไม่ว่าจะถามสักกี่ครั้งก็จะตอบเหมือนเดิมนั่นแหละ

ตอนนั้นเองที่ยาเอะปรากฏตัวออกมาตามลำพังทั้งที่อัลกำชับให้เธออยู่กับคนอื่น โดยฝั่งยาเอะให้เหตุผลว่าเฟลท์อยู่กับวอลคานิก้า ส่วนรอยกับไฮน์เคลก็ถูกมัดตัวไว้แล้ว

นั่นมิได้แปลว่าสถานการณ์ปลอดภัยไร้ช่องโหว่ เพียงแต่ยาเอะประเมินไว้แล้วว่าตัวอัลเดบารันนี่แหละที่เหนื่อยล้าสะสมจนมีความสุ่มเสี่ยงมากที่สุด

อัลยอมที่จะแบกรับภาระไว้มากมายเนื่องจากเป้าหมายแสนสำคัญ แต่ยาเอะอยากให้เขายอมลดเงื่อนไขที่ผูกมัดตนเองไว้ก่อนที่จะถูกมันบดขยี้จนไปไม่ถึงจุดหมาย

. ยาเอะ: ――ทำไมท่านอัลถึงได้ดึงดันที่จะใช้วิธีการแบบขาวสะอาดงั้นเหรอคะ?

ยาเอะย่อเข่าลงมาคุยกับอัลเดบารันที่นั่งกอดเข่าอยู่ในระดับสายตาเดียวกัน น้ำเสียงขี้เล่นเปลี่ยนโทนไปเป็นจริงจังจนฝั่งอัลไปต่อไม่ถูก

ความเป็นจริงในปัจจุบันคือฝั่งศัตรูยอมเล่นนอกกฎได้ทุกรูปแบบ เนื่องจากพวกอัลทั้งลักพาตัวและทำร้ายพวกพ้องของอีกฝ่ายไปเยอะแล้ว

ตอนนี้พวกอัลคงถูกมองเป็นภัยอันตรายระดับโลก ฝั่งตรงข้ามจึงยอมทุ่มเทได้ทุกอย่างโดยไม่สนว่ามันจะเป็นวิถีที่เที่ยงธรรมไหมอย่างแน่นอน

ก่อนที่จะทันได้เถียงกลับไป ยาเอะก็ผลักหน้าผากของอัลให้เขาหงายหลังล้มลง จากนั้นชิโนบิสาวก็ขึ้นมานั่งคร่อมอยู่บนร่างของอัล

ระหว่างที่ดวงตาของทั้งสองจดจ้องกันในระยะประชิด อัลเดบารันได้ล้วงลิ้นไปที่หลังฟันกรามเพื่อเตรียมแกะซองพิษและย้อนเหตุการณ์ใหม่ ทว่า…

ยาเอะ: ――ท่านหญิงน่ะ จากไปแล้วนะคะ ท่านอัล

อัล: ――อึก

ยาเอะ: เธอจากไปแล้วค่ะ พูดเอาไว้เองตั้งหลายรอบใช่ไหมล่ะคะ

. พริสซิลล่า บาริเอลจากไปแล้ว นั่นแหละคือจุดเริ่มต้น การตายของเธอช่วยปลดโซ่ตรวนทั้งหมดจนอัลเดบารันเลือกที่จะเดินทางสายนี้

ยาเอะ: ใช่แบบนั้นจริงเหรอคะ? ท่านหญิงไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะงั้นก็เลยไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว ต่อให้จะต้องหักหลักใคร ต้องทำลายสิ่งใด หรือต่อให้จะถูกคนอื่นมองเช่นไรก็ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว ――ใช่จริงเหรอ?

สายตาและคำพูดที่หนักแน่นของยาเอะทำให้อัลเดบารันอ้ำอึ้งและเลิกคิดที่จะกลืนยาพิษ เธอกำลังกังขาการเตรียมใจของเขาอยู่

ไม่สำคัญว่าผลลัพธ์จะเลวร้ายต่อผู้อื่นแค่ไหน ยาเอะเฝ้าสังเกตมาตลอดว่าอัลเดบารันเลือกใช้แต่วิธีการที่ขาวสะอาดอยู่เสมอ

อัลเผชิญหน้ากับศัตรูแบบตรงๆ เอาชนะกลยุทธ์ของอีกฝ่าย ใช้ประโยชน์จากจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ในสถานการณ์เสียเปรียบ แต่ก็จะไม่ยอมปล่อยให้ใครตายเด็ดขาด

ดังนั้น ยาเอะจึงประเมินว่าการเตรียมใจของอัลเดบารันนั้นขาวสะอาด แต่การยึดติดกับความขาวสะอาดนั้นทำให้อัลถูกไล่ต้อนแทบจะจนมุมในปัจจุบัน

ยาเอะ: ――ท่านอัลคะ เลิกโหยหายดวงตะวันเสียดีกว่าไหม?

ยาเอะเอื้อมสองมือมากุมหมวกเกราะของอัลเดบารันไว้ ไม่ใช่เพื่อถอดมันออก แต่เพื่อหักห้ามมิให้เขาละสายตาไปจากเธอ

ทั้งสัมผัสและเสียงกระซิบของยาเอะกำลังผูกรัดดวงจิตของอัลเดบารัน เธอเหนี่ยวรั้งเขาไว้ ――เพื่อให้เลิกที่จะโหยหาดวงตะวัน

ยาเอะ: มาคลุกคลานอยู่บนผืนดินจนเปื้อนโคลนไปทั่วร่าง เลิกเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วมาอาบเลือดกันเถอะค่ะ สบายใจได้เลยค่ะ ตัวฉันนั้นเปรอะเปื้อนอยู่แล้ว ไม่ว่าจะโคลนหรือเลือด ต่อให้จะต้องเปื้อนไปด้วยกันก็ไม่มีหวั่นค่ะ

อัล: ――ไม่ว่าเธอจะพูดอะไร ชั้นก็…

ยาเอะ: ไม่จำเป็นต้องละทิ้งสิ่งที่ไม่อยากจะทอดทิ้งก็ได้ค่ะ แต่ว่า ถ้าหากปรารถนาเช่นนั้นแล้วล่ะก็ อย่าได้ฝืนที่จะขาวสะอาดเลยนะคะ ถ้าหากว่าสามารถละทิ้งได้กระทั่งความขาวสะอาดนั้นแล้วล่ะก็――

ยาเอะหยุดพูดไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเผยรอยยิ้มเปื้อนเลือดที่เป็นรูปทรงพระจันทร์เสี้ยวออกมา รอยยิ้มนั้นกลายเป็นภาพทับซ้อนกับรอยยิ้มของอีกบุคคลหนึ่ง

ยาเอะ: ――ไม่มีใครหน้าไหนที่สามารถโค่นท่านอัลของฉันได้หรอกค่ะ

――มันคือรอยยิ้มที่ถูกแกะสลักลงไปยังดวงจิตของอัลเดบารัน รอยยิ้มแบบเดียวกับบุคคลที่หล่อหลอมตัวเขาขึ้นมา

สิ่งที่ยาเอะกำลังทำอยู่คือการยึดเกาะ มอบความรัก วิงวอน อ้อนวอน และขมขู่ไปพร้อมๆ กัน เพราะงั้นอัลจึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา

อัล: ――กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่

ต่อให้จะต้องเปรอะเปื้อนโคลนและเลือด อัลเดบารันก็จะไม่ยอมปล่อยมือจากสิ่งที่เขาไม่อยากจะทอดทิ้งอีกต่อไปแล้ว

. ตัดไปทางออตโต้ที่กำลังปวดหัวอย่างรุนแรงเนื่องจากเปิดใช้งาน [พรคุ้มครองประกาศิต] มานานกว่า 20 ชั่วโมงแล้ว ถึงแม้เขาจะไม่ได้เช็คชาแนลตลอดเวลาก็ตาม

ออตโต้ต้องคอยเงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเพื่อมิให้พลาดข้อมูลใดๆ เพราะงั้นเขาจึงต้องสังเวยเวลานอนและการพักกินข้าวเพื่อคงสถานะกึ่งเปิดของพรคุ้มครองเอาไว้

ไม่ใช่แค่กลุ่มอัลเดบารันเท่านั้น ออตโต้ส่งสัตว์ไปคอยติดตามการเคลื่อนไหวของพรรคพวกจนทราบว่ารอสวาลได้มารวมตัวกับเอมิเลียแล้วด้วย

ทั้งนี้ ออตโต้ได้หลีกเลี่ยงการติดต่อกับฝ่ายเอมิเลียโดยตรง ส่วนหนึ่งเพราะเขาต้องจดจ่อไปที่การสอดแนมกลุ่มอัลซึ่งต้องการสมาธิมากที่สุด

แต่เหตุผลหลักคือออตโต้ไม่อยากให้พวกเอมิเลียได้รู้ว่าตนกำลังใช้งานพรคุ้มครองอย่างบ้าบิ่นจนเสียเลือดกำเดาไปเป็นแก้วแล้ว

ขืนพวกเธอรู้เข้า เขาก็คงจะถูกหยุด แต่ออตโต้จำเป็นต้องฝืนต่อเพื่อขัดขวางมิให้กลุ่มของอัลเดบารันไปถึงปากปล่องใหญ่โมโกเลดที่นครรัฐคารารากิ

ออตโต้สังหรณ์ใจได้ว่านั่นคือลิมิต หากปล่อยให้กลุ่มอัลไปถึงที่นั่น พวกเขาอาจจะต้องเสียนัตสึกิ สุบารุกับเบียทริซไปตลอดกาล

. น่าเสียดายที่ออตโต้ ซูเวนไร้ไพ่ตายในการเผด็จศึกด้วยตนเอง กระนั้นเขาก็จะขอทุ่มเทเลือดทุกหยดที่มีอยู่ไปกับการยิงสกัดเพื่อสร้างโอกาสให้พวกพ้อง

【ฟรูฟู: นายน้อย ได้โปรดอย่าฝืนจนตายเลยนะ】

ในขณะที่ออตโต้แยกตัวออกมาปฏิบัติการเดี่ยวในป่าเขาอันห่างไกล มกรปฐพีคู่หูนาม “ฟรูฟู” ได้ติดตามมาด้วยเพื่อเป็นพาหนะเดินทางและเพื่อนคุย

การมีเพื่อนคุยช่วยดึงสติให้ออตโต้ไม่หลงอยู่ภายในภวังค์แห่งเสียงและความคิดของสิงสาราสัตว์ยามที่เปิดใช้งานพรคุ้มครอง

【ฟรูฟู: ถึงจะไม่รู้ว่ามันช่วยได้ไหมก็เถอะ แต่นอนพักสักหน่อยดีไหมคะ? จากที่ได้ยินมาเมื่อครู่ อีกฝั่งก็พักอยู่เหมือนกัน …ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะก็ น่าจะพักได้โดยไม่ต้องห่วงว่าจะคลาดสายตากันจริงไหม?】

ออตโต้: พูดอะไรน่ะครับ ยิ่งกำลังพักอยู่ ก็ยิ่งไม่อยากถูกรบกวน ที่จริงแล้ว ตอนนี้แหละคือช่วงเวลากอบโกยเลยล่ะครับ

【ฟรูฟู: การมองสถานการณ์แบบนี้เป็นช่วงเวลากอบโดยไปเสียได้น่ะ คือนิสัยเสียของนายน้อยชัดๆ เลย】

ฟรูฟูผู้อยู่กับออตโต้มาตั้งแต่วัยแบเบาะได้แต่ส่ายคออย่างเหนื่อยหน่าย เธอเข้าใจการกระทำและคุ้นเคยกับวิธีคิดของเจ้านายเป็นอย่างดี

หลังฟื้นฟูกำลังใจกลับมาผ่านการพูดคุยกับฟรูฟู ออตโต้ก็กลับมาจดจ่อที่ชาแนลของนก แมลง และปลาที่สอดแนมกลุ่มของอัลเดบารันอยู่

การสื่อสารกับสัตว์พวกนี้มิได้เป็นแบบเรียลไทม์ ต้องขอบคุณแมลงซอดด้าที่ทำให้ออตโต้ได้รับข้อมูลรวดเร็วจนยังไม่คลาดสายตากัน

สัตว์ส่วนใหญ่มิกล้าเข้าไปใกล้ [มังกรเทพ] ไม่ว่าเขาจะร้องขอแค่ไหน แต่แมลงซอดด้าให้ความสำคัญต่อความอยู่รอดของฝูงในอนาคตมากกว่าความอยู่รอดของแต่ละตัว

หลังจบเรื่องราวทั้งหมดลง ออตโต้จะต้องหาดินแดนที่พักพิงอาศัยอย่างสงบสุขให้แก่ฝูงแมลงซอดด้าตามที่ได้สัญญาไว้

. ฟรูฟูแซวว่าขืนออตโต้ยึดติดกับแมลงซอดด้าขนาดนี้ เฟรเดริก้ากับเพทร่าคงแหยงน่าดู เนื่องจากผู้หญิงส่วนใหญ่เกลียดแมลงซอดด้ากันหมด

กระนั้นออตโต้ก็แอบตั้งความคาดหวังไว้ว่าพวกเธออาจจะเปลี่ยนใจหลังได้ฟังผลงานของแมลงซอดด้าในศึกนี้ สุบารุกับเบียทริซก็ด้วยเช่นกัน

ออตโต้: อย่างน้อยๆ ก็อยากให้ตัวแทนของฝูงได้รับคำขอบคุณโดยตรงเสียหน่อย――

??: ――เกรงว่าเรื่องนั้นคงจะแอบยากอยู่สักหน่อยล่ะน้า?

ทันใดนั้นเอง เสียงที่มิใช่ทั้งจากแมลงหรือสัตว์ตัวเล็กก็ดังมาเข้าหูของออตโต้ จากนั้นร่างของเขาก็ถูกกระชากขึ้นกลางอากาศโดยทันที

【ฟรูฟู: นายน้อย!!】

ร่างของออตโต้ถูกผูกไว้กับต้นไม้ ขากวัดแกว่งไปมากลางอากาศ มือและลำคอถูกอะไรบางอย่างรัดไว้ ที่เขายังไม่สลบไปเพราะสอดนิ้วไปขวางตรงคอได้ทัน

ออตโต้: อึก…อ่อก…

??: ไม่ใช่กำลังรบแท้ๆ แต่ตอบสนองแบบฉับพลันได้น่าประทับใจมากค่ะ นี่สินะคะที่เขาเรียกกันว่าการเตรียมใจให้พร้อมรบอยู่เสมอน่ะ? คุณพี่ชายอาจจะเป็นชิโนบิแล้วรุ่งก็ได้นะคะเนี่ย?

เด็กสาวร่างผอมบางผู้มีผมสีชาดปรากฏตัวออกมา เธอสวมชุดสาวใช้แนววะโซซึ่งตรงกับรูปพรรณของหนึ่งในพรรคพวกของอัลเดบารัน

ยาเอะ: เห็นไหมล่ะ บอกแล้วใช่ไหมล่ะคะ ท่านอัล ――ไม่มีใครหน้าไหนที่สามารถโค่นคุณได้หรอกค่ะ

――ชิโนบิสีชาด ยาเอะ เทนเซ่น กล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ

. จบตอน