ออตโต้ ซูเวน คือผู้ถือครอง [พรคุ้มครองประกาศิต] ที่ขัดเกลาพรนี้ได้ช่ำช่องที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาจึงสร้างความปั่นป่วนต่อกลุ่มอัลเดบารันอย่างแสนสาหัส
เพราะงั้นกลุ่มอัลจึงเล่นงานออตโต้แบบไม่เปิดจังหวะให้ตั้งตัวและให้บิชอปมหาบาป [ตะกละ] รอย อัลฟาร์ดขจัดเขาออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว
ผลลัพธ์ทำให้ออตโต้ที่ไม่มีโอกาสได้สร้างแทรปโซนไว้ป้องกันตัวเองถูกผนึกการสื่อสารและถูกขโมย [ความทรงจำ] ไปจนพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์
ทว่า ฝั่งออตโต้ได้ชิงใช้งานมาตรการฉุกเฉินไว้ก่อนแล้ว ซึ่งคือการสั่งให้ฝูงแมลงซอดด้าบินขึ้นฟ้าพร้อมกันเพื่อเปิดเผยตำแหน่งให้พวกพ้องทราบ
. 【สุบารุ: ตั้งแต่ก่อนที่จะได้ไปรู้จักกันที่จักรวรรดิ… เจ้าอัลน่ะเคยรู้จักเรมมาก่อนแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่เธอจะถูกกิน [ชื่อ] กับ [ความทรงจำ] เข้าไป เรื่องนี้ไม่ผิดพลาดแน่นอน】
เพทร่าได้รู้ผ่านความทรงจำว่าสุบารุเคยก่อวีรกรรมน่าละอายครั้งใหญ่ไว้ที่พระราชวัง กระทั่งตัวเธอยังมองว่ามันเลวร้ายมาก แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นสิ้นศรัทธา
ในตอนนั้นเรมที่ยังไม่หมดหวังในตัวสุบารุได้ติดตามเขาไปขอความช่วยเหลือจากพริสซิลล่าเพื่อหาทางช่วยชีวิตเอมิเลียที่จะถูกลัทธิแม่มดเล่นงาน
สุบารุผู้ติดลูปอยู่ในอารมณ์ด้านลบถูกพริสซิลล่าปฏิเสธอย่างรุนแรงและไล่ตะเพิดออกมา แล้วเรมก็ได้พบกับอัลเดบารันที่แสดงท่าทีเหมือนรู้จักเธอ
【สุบารุ: อัลเรียกชื่อรัมกับเรมสลับกัน แถมยังตกใจกับเรื่องนั้นมากๆ อีกต่างหาก แล้วพอลองถามดู เรมก็บอกว่าพึ่งได้เจอกับอัลเป็นครั้งแรกซะด้วย】
เพทร่า: แสดงว่าทางคุณอัลรู้จักกับสองคนนั้นอยู่ฝ่ายเดียวงั้นเหรอ? เพราะว่าเป็นฝ่ายไรวัล(คู่แข่ง)ในการคัดสรรกษัตริย์ ก็เลยสืบสวนข้อมูลไว้เสร็จสรรพ …หรือเปล่านะ?
【สุบารุ: จะบอกว่าอัลมีหน้าที่ด้านยุทธการโต้ตอบการคัดสรรกษัตริย์ภายในฝ่ายพริสซิลล่าอย่างงั้นเหรอ? ความเป็นไปได้มันก็มีอยู่หรอก แต่เรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง ประเด็นสำคัญคืออัลน่ะรู้จักเรม สรุปก็คือ――】
เพทร่า: พอได้เห็นท่านพี่เรมเมื่อไรล่ะก็ [ความทรงจำ] ของคุณอัลก็จะโกลาหลเหมือนกับพวกเราทุกคน
【สุบารุ: ตามนั้น ――ถ้าจะให้ตั้งชื่อล่ะก็ ขอเรียกว่า “แฟลชเรมเนด”】
[สุบารุ] ดีดนิ้วอย่างภาคภูมิในขณะที่เพทร่าแอบเคลือบแคลงใจต่อการมองเรมเป็นแฟลชเกรเนด(ระเบิดแสง)อยู่บ้าง แต่เธอก็ยกนิ้วโป้งตอบรับไป
ปัจจุบันอาการ [ความทรงจำ] ไหลย้อนกลับยังไม่มีวิธีแก้ทาง ยิ่งสนิทกับเรมมาก ผลลัพธ์ก็ยิ่งรุนแรง เพราะงั้นพวกเพทร่าจึงจะขอใช้ประโยชน์จากช่องว่างนี้
เพทร่า: มาแสดงให้คุณอัลเห็นกันเถอะ ――ว่าพวกเราน่ะ โมโหถึงขนาดไหน
. ที่บิชอปมหาบาป [ตะกละ] รอย อัลฟาร์ดตรวจพบมาตรการฉุกเฉินของออตโต้ ซูเวนได้ชักช้านั้นไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว
อำนาจ [อุปราคา] ของรอยได้กลืนกินช่วงชีวิตทั้ง 22 ปีของออตโต้เข้าไป แถมข้อมูลที่เขาได้รับยังแม่นยำและสดใหม่ยิ่งกว่าการอ่าน [คัมภีร์ผู้วายชนม์]
แม้เจ้าตัวจะเป็น [กินไม่เลือก] แต่รอยก็อดมิได้ที่จะประเมินคุณภาพอาหารจานนี้ไว้สองดาว ราวกับว่าสืบทอดเจตนารมณ์ของ [กินอาหารโอชะ] ไร บาเทนไคทอส
ทว่า ออตโต้มิได้ปรึกษาใครเลยเรื่องแผนการรับมือกรณีตนถูกเล่นงาน เขาเพียงแค่เชื่อมั่นว่าพวกพ้องจะเข้าใจสัญญาณฉุกเฉินและไม่ปล่อยให้โอกาสเสียเปล่า
สรุปก็คือ สาเหตุที่รอยตรวจไม่เจอแผนดักโจมตีโดยทันทีนั้น เป็นเพราะว่าออตโต้ได้เดิมพันทุกอย่างไว้กับสายสัมพันธ์อันแข็งแกร่ง
. เรม: ――ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ท่านอัลเดบารัน
ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในพริบตา การปรากฏตัวแบบกะทันหันของสาวผมฟ้าทำให้กลุ่มอัลเดบารันตั้งตัวไม่ทัน แต่ตัวอัลเองได้รับผลกระทบมากกว่าคนอื่นเป็นพิเศษ
[ความทรงจำ] ย้อมสีดำที่สลักแน่นอยู่ภายในสมองและดวงจิตถูกกระตุ้นด้วยความรู้สึกราวกับว่าบางสิ่งถูกยัดกลับคืนมา ส่งผลให้หัวของอัลเดบารันขาวโพลน
อาจเรียกได้ว่ามันคือแฟลชเกรเนดแห่ง [ความทรงจำ] ระหว่างที่ถูกสิ่งนั้นเล่นงาน ยาเอะได้พยายามเอื้อมมือเข้ามาช่วยเหลืออัล
ทว่า พอรู้ตัวอีกที เท้าที่เคยแตะพื้นก็ไปโผล่อยู่กลางอากาศ สายลมกรรโชกเข้าปะทะจนร่างของเขาหมุนติ้ว สูญเสียสัมผัสของทิศทางไปอย่างสิ้นเชิง
ดวงตะวันที่ลอยอยู่เหนือท้องนภาสีครามสาดแสงมากระทบดวงตาสีดำ อัลเดบารันจึงรู้ตัวว่าตนเองถูกเคลื่อนย้ายออกจาก [อาณาเขต] ไปเสียแล้ว
อัล: ――อึก! กางอาณาเขต ตั้งค่าเมทริกซ์ใหม่
อำนาจของอัลเดบารันมิได้ไร้เทียมทาน ถ้าหากถูกสังหารภายนอก [อาณาเขต] ที่กำหนดไว้ ก็จะไม่มีโอกาสได้ย้อนกลับมาแก้ไขใหม่
ด้วยเหตุนั้น อัลเดบารันที่ถูกตัดขาดจาก [อาณาเขต] เดิมจึงจำใจต้องรีบตั้งค่าเมทริกซ์ครั้งใหม่ ส่งผลให้เขามิอาจย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะถูกลอบโจมตีได้อีกแล้ว
. อัลเดบารันกลับมาตั้งสมาธิอยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน เขามาโผล่บนท้องฟ้าอย่างกะทันหันโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวและกำลังร่วงหล่นจากความสูงเสียดฟ้า
อัลหวนนึกถึงอำนาจของ [แม่มด] ผู้แข็งแกร่งที่สุด(เซคห์เมต)ขึ้นมา แต่ถ้าหากเป็นอำนาจของเธอคนนั้น เขาควรจะถูกสังหารเป็นร้อยครั้งในชั่วพริบตาแทนที่จะถูกเขวี้ยงขึ้นฟ้าเช่นนี้
ยาเอะ: ――ท่านอัล
ระหว่างที่ตัดตัวเลือกที่เป็นไปไม่ได้ออก อัลก็พบว่ายาเอะกำลังเกาะแขนเขาอยู่ เธอคงถูกส่งขึ้นมาบนฟ้าพร้อมกับเขาที่โดนแฟลชเกรเนดจนนิ่งไป
ยาเอะ: จะปรับท่าทางให้นะคะ! ท่านอัล อย่าได้ออกห่างจากตัวฉัน――
อัล: อ่อก
เพื่อตรวจสอบสถานการณ์เพิ่มเติม อัลเดบารันตัดสินใจกลืนยาพิษปริมาณถึงฆาตจากในซองที่หลังฟันกรามทันที
ยาเอะ: ไว้จะถามทีหลัง
ยาเอะผู้ตกใจจนดวงตาเบิกกว้างกล่าวเช่นนั้นระหว่างที่ฟองเลือดไหลทะลักออกจากขอบปากอีกฝ่ายจนเขาได้รสสนิมเหล็ก จากนั้นสติของอัลก็ดับมืดลงไป
× × ×
พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง อัลเดบารันก็ได้รับการต้อนรับจากสายลมกรรโชกและดวงตะวันที่ส่องสว่างจนน่าชิงชัง ตัวเขากลับมาอยู่ที่ความสูงหลายร้อยเมตรบนฟ้า
อัล: ล้อกันเล่นใช่ไหมเนี่ย
“เคลื่อนย้าย” “เคลื่อนตำแหน่งชั่วพริบตา” “เทเลพอร์ต” ไม่ว่าจะเรียกแบบไหน นี่ก็คือคำตอบเดียวที่จะอธิบายสาเหตุที่ตัวเขามาโผล่บนฟ้าได้
เวทมนตร์ชนิดเดียวที่ส่งผลต่อมิติคือเวทมนตร์เงาระดับสูง แต่การเทเลพอร์ตด้วยเวทมนตร์เงาเองก็มีเงื่อนไขข้อจำกัดอยู่มากมาย
ถ้าหากว่าบรรจงสร้างองค์ประกอบมนตร์และสลักมันลงในฟีลด์ที่ตนกำหนดไว้ ก็จะสามารถวาร์ปไปมาแบบจำกัดระหว่างประตูที่เชื่อมต่อเข้าหากันได้
จอมเวทสามารถนึกอิมเมจของพิกัดให้ชัดเจนเพื่อส่งเป้าหมายไปยังปลายทางแบบเที่ยวเดียวไม่มีขากลับได้ด้วยเช่นกัน แต่ต้องแลกมากับเกทที่หมดสภาพทันที
× × ×
สรุปก็คือ ปรากฏการณ์ถูกวาร์ปมาโผล่บนฟ้าที่พวกอัลเดบารันกำลังเผชิญอยู่นั้นคือสิ่งที่เกินเลเวลของเวทมนตร์ไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่มีพรคุ้มครองใดที่สามารถแทรกแซงผู้อื่นได้มากถึงเพียงนี้เช่นกัน แม้ว่าบางครั้งไรน์ฮาร์ดจะสามารถเปลี่ยนพรคุ้มครองที่ดูธรรมดาให้ทรงพลังขึ้นได้ก็ตาม
อัล: นี่มันต่างออกไป แต่ถ้าเกิดว่ามันคืออำนาจล่ะก็…
กลโกงอย่างเดียวที่เป็นไปได้คืออำนาจ แต่เท่าที่อัลเดบารันทราบ [โทสะ] [ตะกละ] และ [ราคะ] อยู่ในการครอบครองของบิชอปมหาบาป
ปัจจุบัน [เกียจคร้าน] กับ [โลภะ] ตกไปอยู่ในการครอบครองของนัตสึกิ สุบารุ ส่วนอำนาจของอัลนั้นถือเป็น “ส่วนเกิน” “ส่วนพิเศษ” หรือ “ของเถื่อน”
ที่เหลืออยู่คือ [เย่อหยิ่ง] [ทระนง] และ [โศกา] แต่ว่าไม่ควรจะมีใครที่สามารถใช้งานสองอย่างหลังได้ ความเป็นไปได้จึงเหลือเพียงแค่ [เย่อหยิ่ง] เท่านั้น
× × ×
อัล: มี [เย่อหยิ่ง] มาด้วยงั้นเหรอ? มันโผล่มาแล้วเหรอ? เข้าร่วมด้วยงั้นเหรอ? ――ไม่สิ เรื่องนั้นน่ะจะยังไงก็ช่าง
มีความเป็นไปได้ที่ใครบางคนที่อัลเดบารันรู้จักอาจถูกรับเลือกโดยปัจจัย [เย่อหยิ่ง] หรือไม่ก็คนที่เขาไม่รู้จักได้เข้าร่วมการต่อสู้ในฐานะ [เย่อหยิ่ง]
นอกเหนือจากนัตสึกิ สุบารุและไรน์ฮาร์ดแล้ว ผู้ที่เป็นภัยต่ออัลเดบารันก็เหลือเพียงแค่ผู้ถือครองอำนาจที่สามารถบิดเบือนและย่ำยีกฎเกณฑ์ของโลกได้ดังใจ
× × ×
อัล: ――ออลไรต์ ใจเย็นก่อน
หลังวนลูปไปหลายรอบ อัลก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์และยอมรับปัจจัยที่แก้ไขไม่ได้ทั้งหลายแล้ว ถึงจะเลวร้ายหลายอย่าง แต่ตราบใดที่ยังไม่ตายมันก็คุ้มเสีย
ยาเอะ: ――ท่านอัล
ระหว่างที่ยาเอะมัดรวบผมที่ปลิวตามสายลมคล้ายหางสุนัข อัลเดบารันก็คำนึงถึงเฟสต่อไป ซึ่งก็คือการพาตัวเขากับยาเอะลงพื้นอย่างปลอดภัย
ยาเอะ: จะปรับท่าทางให้นะคะ! ท่านอัล อย่าได้ออกห่างจากตัวฉัน――
อัล: เดี๋ยวสิ นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหาก
อัลเดบารันชิงคว้าตัวยาเอะมาซบอกตนเองในขณะที่สร้างแขนซ้ายเทียมขึ้นมาจากหินและชูมันขึ้นเหนือศีรษะเพื่อป้องกันการโจมตีที่หวดพวกอัลให้ร่วงเร็วขึ้น
มีเสียงโซ่เลื้อยดุจอสรพิษปะปนมากับสายลมกรรโชก มันคือการจู่โจมจากลูกตุ้มหนามโลหะซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อทำให้เหยื่อหลับไม่ฟื้น ตรงข้ามกับชื่ออย่างสิ้นเชิง
เรม: ――เตรียมใจไว้ให้ดี!
“เรม” เด็กสาวผู้เปิดศึกครั้งนี้และช่วงชิงความได้เปรียบของอัลเดบารันไปกำลังร่วงหล่นจากห้วงเวหาโดยที่มีดวงตะวันเป็นฉากหลัง
บนหน้าผากของเธอมีเขางอกออกมา สัญลักษณ์บ่งชี้ของ “เผ่าโอนิ” เผ่าพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อล้างบาง [แม่มด] ออกไปจากโลกใบนี้
แต่สำหรับอัลเดบารันผู้ได้รับความทรงจำเกี่ยวกับเรมกลับคืนมา มันมีประเด็นอื่นที่เขาติดใจยิ่งกว่าเรื่องนั้นเสียอีก
อัล: แรกเริ่มเดิมที การที่คุณหนูเรมยังมีชีวิตอยู่มันไม่เหมือนกับที่รู้มาเลยนี่หว่า!!
. จนถึงปัจจุบัน แทบทุกอย่างเป็นไปตามแผนการที่พวกเรมวางเอาไว้ เริ่มจากการเปิดฉากจู่โจมด้วยเรมซึ่งทำให้อัลแน่นิ่งและสูญเสียการตัดสินใจไปชั่วขณะ
จากนั้นก็ใช้พลัง [บีบอัด] ของคลินด์แยกเดี่ยวอัลออกจากพรรคพวกโดยการส่งเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เคลื่อนไหวได้ลำบากพร้อมกับเรม
ไทม์มิ่งของการจู่โจมถูกกำหนดตามสัญญาณที่ออตโต้ได้ทิ้งไว้ให้หลังจากที่เขาถูกเล่นงาน ปัจจุบันเรมที่มีมอร์นิ่งสตาร์ในมือจึงกำลังลอยตัวอยู่เหนือพวกอัล
เรมเลือกที่จะเผชิญหน้ากับอัลโดยตรงเนื่องจากพริสซิลล่าเคยช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดี เรมจึงมิอาจปล่อยให้อัลก่อเรื่องมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าพริสซิลล่าและสุบารุคือแกนหลักของโมทิเวชั่น(แรงจูงใจ)ที่เรมมีอยู่ แม้จะแอบรู้สึกผิดต่อเบียทริซที่โดนจับไปเหมือนกันอยู่บ้างก็ตาม
หากมองในเชิงกลยุทธ์ ไม่มีวิชั่นใดบ่งชี้เลยว่าเรมจะมีประโยชน์ในการต่อสู้กับอัลเกินไปกว่าการทำให้เขาเสียจังหวะในตอนแรกสุด แต่ที่จริงมันมีอะไรมากกว่านั้น
อัล: แรกเริ่มเดิมที การที่คุณหนูเรมยังมีชีวิตอยู่มันไม่เหมือนกับที่รู้มาเลยนี่หว่า!!
เหตุผลที่เพทร่าแนะนำให้เรมเป็นแนวหน้าก็คือความเชื่องโยงลึกลับระหว่างตัวเธอกับอัล ถึงแม้ว่าฝั่งเรมจะนึกไม่ออกเลยว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องเช่นไรก็ตาม
เรมลองยืนยันกับพี่สาวดูแล้ว ปรากฏว่ารัมกับอัลเคยสนทนากันสั้นๆ ที่นครหลวงก่อนที่การคัดสรรกษัตริย์จะเริ่มขึ้น แต่เนื้อหาที่สนทนาไม่ได้สำคัญอะไรเลย
ความเป็นไปได้ที่เรมนึกออกคือฝั่งอัลอาจจะรู้จักตัวเธอกับรัมแบบข้างเดียว
. เรมเลือกพูดถึงเหตุการณ์ที่อัลและพริสซิลล่าได้ช่วยชีวิตพวกเธอไว้จากอาราเคียที่เมืองกัวลาลเพื่อจู่โจมทางจิตใจ แต่ฝั่งอัลนิ่งเงียบไม่ตอบโต้
เนื่องจากไม่สามารถอ่านสีหน้าของอัลภายใต้หมวกเกราะได้ เรมจึงเลือกที่จะจู่โจมอย่างต่อเนื่องไม่ให้อีกฝ่ายได้พักหายใจแทน
เรม: ฮิวม่า!
มานาธาตุวารีแทรกแซงปรากฏการณ์ของโลกตามคำร่ายมนตร์และสร้างผลลัพธ์ขึ้นมาเป็นก้อนน้ำแข็ง
ในขณะที่ฮิวม่าของเอมิเลียเป็นการควบคุมอุณหภูมิเพื่อเยือกแข็งความชื้นในอากาศและเปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นน้ำแข็ง ฮิวม่าของเรมคือไทป์ที่สร้างก้อนน้ำแข็งขึ้นมาจากความว่างเปล่า
ประเภทของเอมิเลีย(ธาตุอัคคี)นั้นเปลืองมานาในการสร้างน้ำแข็งน้อยกว่าและยังสามารถนำน้ำแข็งวนเวียนกลับมาใช้ซ้ำเพื่อสร้างเป็นอย่างอื่นได้เรื่อยๆ
ประเภทของเรม(ธาตุวารี)เปลืองมานาในการสร้างน้ำแข็งมากกว่า แถมหลังใช้เสร็จต้องสลายกลับเป็นมานา ซึ่งฟังดูผิวเผินอาจจะดูด้อยกว่า
ทว่า ฮิวม่าแบบเรมมีข้อดีตรงที่สามารถสร้างน้ำแข็งได้ทุกแห่งโดยไม่สนความชื้นหรือปริมาณน้ำที่มีอยู่ในอากาศ อีกทั้งยังกำหนดรูปร่างและพิกัดได้อิสระกว่า
เรม: ――ฮ่าาาาา!!
มนตร์ฮิวม่าสร้างน้ำแข็งขึ้นมาเป็นแท่นเหยียบชั่วคราวบริเวณพิกัดที่กำหนด เรมใช้มันเป็นฐานรองรับเพื่อทุ่มน้ำหนักลงไปที่ฝีเท้ายามจู่โจม
การแกว่งมอร์นิ่งสตาร์ในขณะที่มีฐานยืนชั่วคราวนั้นช่วยเพิ่มความรุนแรงขึ้นมหาศาลกว่าการบิดตัวกลางอากาศจนมันสามารถบดขยี้ร่างของมนุษย์ทั่วไปได้
. ยาเอะ: ฝันไปเถอะ
แต่แล้วลูกตุ้มหนามที่สุบารุคอยดูแลและขัดเงาด้วยความห่วงใยเอาใจใส่ก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้โดยลวดจำนวนมหาศาลของชิโนบิในอ้อมแขนของอัล
ลวดที่ถูกกางออกมาเป็นแหโดยชิโนบิดวงตาสีชาดกลายเป็นคุชชั่นที่รองรับลูกตุ้มหนามราวกับหมอน แถมอีกฝ่ายยังจดจ้องมาทางเรมอย่างไม่ลดละ
ตามแผนเดิม อัลควรจะถูกแยกเดี่ยวออกมาระหว่างที่พวกพ้องยังไม่ทันตั้งตัว แต่เรมรู้สาเหตุที่เธอคนนี้สามารถออกตัวช่วยเหลืออัลโดยที่ไม่ต้องคิดหน้าคิดหลังเป็นอย่างดี
เรม: ――มันคือความรักสินะ!
อัล: ไม่ใช่ว้อย!!
ยาเอะ: ไม่ใช่แล้วค่ะ!!
. เรมดึงมอร์นิ่งสตาร์กลับคืน จากนั้นก็ร่ายมนตร์สร้างแท่นเหยียบน้ำแข็งจำนวนหนึ่งขึ้นมาใช้ดีดตัวเพื่อไล่ตามพวกอัลที่กำลังร่วงหล่นลงไปตามแรงโน้มถ่วง
ชิโนบิสาวฉีกยิ้มพลางตวัดลวดไปผูกแท่นเหยียบน้ำแข็งที่เรมสร้างขึ้นมา เป้าหมายของเธอคือการแย่งแท่นเหยียบเหล่านั้นมาใช้งานเอง
เรมได้ยินมาว่าชิโนบิคนนี้มีทักษะต่อสู้เหนือยิ่งกว่าเธอ เพราะงั้นถ้าหากอีกฝ่ายสามารถทรงตัวบนแท่นเหยียบได้ ความต่างของทักษะต่อสู้ก็จะเห็นผลทันที
ดังนั้น เพื่อขัดขวางมิให้อีกฝ่ายชิงความได้เปรียบกลับคืนมา เรมจึงสลายแท่นเหยียบน้ำแข็งกลับเป็นมานา ส่งผลให้ลวดของชิโนบิคว้าน้ำเหลวไป
ในขณะที่น้ำแข็งของเอมิเลียจะคงสภาพไว้เช่นเดิมหลังจากที่ถูกสร้างขึ้นมา น้ำแข็งของเรมนั้นสามารถเก็บกวาดทิ้งได้ทันทีอย่างง่ายดาย
เรม: ถ้าให้สรุปง่ายๆ ของเรมน่ะเป็นสายรุกกว่าค่ะ
เรมกระหน่ำหวดลูกตุ้มใส่ในจังหวะที่ชิโนบิสูญเสียการทรงตัวเพราะเหวี่ยงลวดวืดไป แต่ฝั่งอัลยังอุตส่าห์เสริมแกร่งแขนเทียมที่แตกร้าวและตั้งรับลูกตุ้มไว้ได้สามครั้งต่อเนื่อง
เอมิเลีย: ――นี่แน่ะ!!
แต่แล้วทันใดนั้นเอง บูทส์น้ำแข็งของเอมิเลียก็ได้พุ่งทะยานมาจากมุมทะแยงด้านล่างและถีบเข้าใส่กลางแผ่นหลังที่ไร้การป้องกันของอัลเข้าเต็มๆ
. กำลังรบของกลุ่มอัลเดบารันที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับโลกนั้นอาจจะเหนือยิ่งกว่ากำลังรบของลัทธิแม่มดในศึกระยะสั้นเลยด้วยซ้ำ
เพราะงั้นการจับแยกสมาชิกกลุ่มจึงเป็นเงื่อนไขการปะทะที่สำคัญ ซึ่งแผนการนั้นก็สำเร็จไป 90% ที่ผิดแผนไป 10% คือการที่ชิโนบิเกาะตัวอัลไว้ได้ทัน
แต่ถึงอย่างไรแผนการก็ต้องดำเนินต่อ แต่ละคนล้วนมีภาระรับผิดชอบที่ต้องทำให้ดีที่สุด จึงไม่มีเวลาให้คำนึงถึงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น
เหล่านักรบที่มีเป้าหมายในการโค่นล้มกลุ่มอัลเดบารันทยอยปรากฏตัวออกมา พวกเขาล้วนแต่จดจ้องบิชอปมหาบาป [ตะกละ] รอย อัลฟาร์ดอย่างไม่เกรงกลัว
รอย: ดีจัง ดีจังเลย ดีไหมนะ แต่ว่านะ ขืนมารวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ กำลังรบที่คิดจะขัดขวางพวกเราอาจจะโดนเก็บกวาดแบบรวดเดียวเลยก็ได้สิเนอะ?
รัม: ――เหอะ ทางนั้นนั่นแหละ ไม่ลองสั่นกลัวให้ดูน่ารักน่าชังเสียหน่อยล่ะ? เว้นแต่ว่าอยากจะตายแบบเดียวกันกับพี่น้องที่หอคอยทรายล่ะนะ
เมลี่: อีกอย่างนึง น้องๆ สัตว์มารอยู่ในสไตรค์โซนของพวกนายด้วยหรือเปล่าน้า? ถ้าเกิดว่าไม่ใช่ล่ะก้อ …เผลอๆ ตัวฉันอาจจะเป็นศัตรูทางธรรมชาติของพวกนายก็ได้จ้า
นักรบคนหนึ่งยืนกอดไหล่ ส่วนอีกคนลูบผมเปียตนเอง ในขณะที่รอยเลียริมฝีปากและสั่นสะท้านไปกับความอยากอาหารของตน
ไฮน์เคล: ละ…ล้อกันเล่นหรือไงวะ… นี่พวกแก ไม่เห็น [มังกรเทพ] ตรงหน้าหรือไงกัน!? กระทั่งนครหลวงยังราบเป็นหน้ากลองมาแล้ว …ไม่มีโอกาสชนะได้หรอกนะว้อย!
ไฮน์เคลทั้งหน้าซีดและเสียงสั่นเทาตรงข้ามกับรอยอย่างสิ้นเชิง เขาดูไม่ต่างจาก [มนุษย์ที่ขอพึ่งบารมีมังกร] กระนั้นสิ่งที่ไฮน์เคลพูดก็เป็นความจริง
การเผชิญหน้ากับ [มังกรเทพ] โดยไม่มีกลยุทธ์ใดๆ นั้น มีแต่จะนำไปสู่จุดจบและการถูกกวาดล้างจนสิ้นซาก
รอม: แต่ว่านั่น ก็แค่ในกรณีที่ไม่มีกลยุทธ์อะไรเลยนั่นแหละน้อ
ไฮน์เคล: ――ชิ ตาแก่เผ่ายักษ์
รอม: ตาแก่เผ่ายักษ์คนนี้เคยผ่าน [สงครามอมนุษย์] มาแล้ว พวกที่หันความมุ่งร้ายมาหาน่ะ ไม่สมควรได้รับความปรานีครั้งที่สองเป็นอันขาด ――จะขอชิงตัวเฟลท์กลับมาให้จงได้
พอชายร่างยักษ์ประกาศอย่างแข็งกร้าว ไฮน์เคลก็กวาดสายตาไปทั่ว ในขณะที่ [มังกร] กุมขมับคล้ายมนุษย์จนความน่าเกรงขามหายเกลี้ยง
รอสวาล: ยังไงก็เถอะ ฉันน่ะต่างไปจากพสกนิกรของราชอาณาจักร ต่อให้อิมเมจของ [มังกรเทพ] จะแปดเปื้อนหรือมูลค่าแบรนด์จะด้อยลงก็ไม่เห็นจะน่าแตกตื่นเลยสักนี้ด~ ――แต่ว่า พ่อหนุ่มคนที่อยู่ข้างฉันจะคิดยังไงกานน้า~ น่าจะมีเรื่องติดค้างอยู่ในใจมากมายม่ายช่ายหรือไง?
คลินด์: เปล่าเลย นายท่าน ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอกขอรับ ‘ระแวงเกินเหตุ’ การเอาแต่พร่ำเพ้อถึงอดีตที่ละทิ้งไปแล้วน่ะ เป็นเพียงเรื่องไร้สาระสำหรับกระผม ‘เปราะบาง’
ตอนนั้นเองที่มีเงาคนร่างเล็กเดินแหวกกลุ่มคนผู้ไร้ความหวาดกลัวออกมายืนหน้าสุด [อัลเดบารัน] รับรู้ได้ทันทีว่าเธอคนนี้คือตัวแทนของฝ่ายศัตรู
ดวงตาของทั้ง [อัลเดบารัน] ไฮน์เคล และรอยต่างพากันจดจ้องไปยังเพทร่า เลย์เตผู้ชี้นิ้วขึ้นสู่ฟากฟ้าและประกาศว่า…
เพทร่า: ――นี่คือศึกชี้ชะตาค่ะ ช่วยยอมโดนเล่นงานจนย่อยยับแต่โดยดีเถอะนะ
. จบตอน