Re: zero เว็บโนเวล บทที่ 9 ตอนที่ 50 "ศึกตัดสินบนน้ำแข็ง"
. เสาสีรุ้งที่เจาะทะลวงสวรรค์และโลกาเริ่มเลือนหายไปพร้อมกันกับที่ท้องฟ้าหวนกลับเป็นสีคราม โดยมีเอซโซ่ยืนหลั่งน้ำตาอยู่ข้างๆ รอสวาล
สองจอมเวทผู้ผนวกกำลังกันควบคุมสี่ธาตุและสองธาตุได้อย่างสมบูรณ์แบบพึ่งบรรลุผลงานที่จะถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์แห่งเวทมนตร์
ผลจากการฝึกฝนของรอสวาลและการค้นคว้าของเอซโซ่ช่วยให้ทั้งคู่ก้าวข้ามรัศมีมังกรของ [มังกรเทพ] ได้สำเร็จ น้ำตาแห่งความยินดีจึงมิใช่เรื่องแปลก
เอซโซ่: …คอยดูเถอะ สักวันหนึ่งฉันจะทำให้พิธีเวทนี้เสร็จสมบูรณ์ ต่อให้ตัวคนเดียวก็ตาม!
คำประกาศของเอซโซ่ผู้น้ำตาไหลพรากทำให้รอสวาลยิ้มออกมา แต่เขามิได้ขำในคำพูดโอ้อวดหรือดูแคลนอีกฝ่ายแต่อย่างใด
อิมเมจคือพื้นฐานของเวทมนตร์ ตราบใดที่นึกอิมเมจออก เวทมนตร์ย่อมดลบรรดาลได้ทุกสิ่ง จอมเวทจึงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทะเยอทะยานเช่นนั้น
รอสวาล: ใช่ไหมล่ะครับ อาจารย์
รอสวาลล้มทั้งยืนหลังจากที่พึมพำจบ เอซโซ่พยายามจะช่วยพยุงร่างเขาไว้ แต่เนื่องจากเหนื่อยล้าไม่ต่างกัน ทั้งคู่จึงล้มพับตามกันไป
แต่ก่อนที่เอซโซ่จะถูกทับจนแบน คลินด์ที่พึ่งทำลายดาวตกบนฟากฟ้าสำเร็จก็กลับลงมาช่วยพยุงร่างของรอสวาลไว้ได้ทันท่วงที
. ปัจจุบันคลินด์เก็บเขาสีดำและเอาโมโนเคิลกลับมาสวมแล้ว นอกเหนือจากทรงผมกับเครื่องแบบที่ยุ่งเหยิง เขาแทบจะไร้บาดแผลเลยก็ว่าได้
คลินด์อวดอ้างว่ามนุษย์มกรทุกตนมิได้มีความถึกทนสุดโกงแบบเขา นี่เป็นความพิเศษของมนุษย์มกรแห่ง [มังกรเทพ] เพียงเท่านั้น
รอสวาลแขวะว่าคลินด์เปลี่ยนไป ไม่วางมาดสูงส่งสงบนิ่งเหมือนแต่ก่อน ฝั่งคลินด์จึงแซวกลับว่ารอสวาลเองก็หลุดจากมาดจอมเวทเจ้าเล่ห์เช่นกัน
รอสวาล: ก็แค่ พึ่งจะมารู้ตัวน่ะ …ว่าวันวานที่ผ่านจนถึงตอนนี้ ที่จริงม่ายด้ายยยก้าวเดินอยู่ตามลำพังเสียหน่อย ――แต่สาเหตุมันก็ชัดเจนอยู่แล้วหล่าน้าาาา
คำพูดนั้นทำให้คลินด์กับเอซโซ่นิ่งเงียบไป กระนั้นรอสวาลก็ปิดบังอะไรจากทั้งคู่มิได้ เพราะคนหนึ่งรู้จักกันมานาน ส่วนอีกคนก็พึ่งจะเชื่อมจิตกัน
รอสวาล: จะว่าไปแล้ว ฉันน่ะเคยชินกับการมีจิตสำนึกผสานกันอยู่แล้วก็จริง แต่ไหงเอซโซ่คุงถึงไม่เป็นไรเลยล่ะ? ปกติ น่าจะเสียสติไปแล้ววววนี่นา
เอซโซ่: อย่าพูดเรื่องน่าขนลุกสบายใจเฉิบแบบนั้นเซ่! เกรงว่าคงจะเป็นผลพ่วงจาก [คัมภีร์ผู้วายชนม์] เพราะตอนรออยู่ที่หอตรวจการณ์ ได้ฝึกฝนวิธีการทำจิตใจให้ว่างเปล่าไว้เพื่ออ่าน [คัมภีร์ผู้วายชนม์] นั่นแหละนะ…
คลินด์: อย่างนี้นี่เอง นี่สินะจอมเวท ‘รู้ซึ้ง’
. สุดท้ายแล้วกลุ่มของรอสวาลก็บรรลุภารกิจตามที่ได้รับมอบหมายมา ทั้งสามชายตามองไปยังสุดขอบฟ้าของทุ่งราบหินซึ่งเป็นจุดหมายของกลุ่มอัลเดบารัน
รอสวาล: ――ปล่องน้ำพุยักษ์โมโกเลด
รอสวาลหวนนึกถึงการโจมตีสุดท้ายของ [มังกรเทพ] ซึ่งเล็งไปยังหลุมขนาดใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป แทนที่จะโจมตีใส่ตัวเขากับเอซโซ่ที่กำลังเตรียมมหาเวท
ในช่วงเวลานั้นจิตสำนึกที่อยู่ภายในเปลือกมังกรได้เลือกที่จะเติมเต็มบทบาทบางอย่างของมันให้ลุล่วงทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าจะต้องแลกกับความพ่ายแพ้
รอสวาลยังคงคาดคะเนจุดมุ่งหมายที่กลุ่มอัลเดบารันมีต่อหลุมขนาดใหญ่แห่งนั้นมิได้ แต่อีกไม่นานก็คงจะได้รู้กัน ที่เหลือก็อยู่ที่ว่า…
รอสวาล: ――เหล่าพวกพ้องที่นายสั่งสมมาจะสามารถก้าวข้ามอีกฝ่ายได้ไหมนั่นแหละนะ สุบารุคุง
. “อิเรกุล่า(ตัวตนผิดปกติ)” คือบทบาทที่เรมได้รับมอบหมาย เธอคือตัวตนที่มีไว้แก้ทางอำนาจ [ย้อนเวลา] ที่อัลใช้ก้าวข้ามอุปสรรคมาโดยตลอด
【รอม: จริงอยู่ว่า อำนาจของไอ้เวรหมวกเกราะคนนั้นมันน่าสะพรึงกลัว ว่ากันคร่าวๆ กระทั่งจากประสบการณ์ของข้าก็ยังไม่เคยพบเจอพลังไร้สามัญสำนึกแบบนั้นเลย ――แต่ไม่ว่าจะเป็นพลังที่แกร่งเพียงใด สุดท้ายผู้ใช้มันก็เป็นมนุษย์อยู่ดี】
【รอม: กระหน่ำสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายเข้าไปแบบนับไม่ถ้วน บีบให้ไอ้เวรหมวกเกราะต้องใช้อำนาจซ้ำไปเรื่อยๆ เวลาที่เจ้านั่นย้อนกลับได้มันมีข้อจำกัดอยู่ กระหน่ำเข้าไป กระหน่ำเข้าไป กระหน่ำจนแตกพ่าย】
【รอม: พอแรงกายแรงใจถูกรีดหมดก๊อกเมื่อไหร่ ไอ้เวรหมวกเกราะก็จะพลาดท่าแบบกู่ไม่กลับไปเอง ――นั่นแหละคือวิธีคว้าชัยชนะจากไอ้เวรหมวกเกราะแหละน่อ】
เหล่าเจ้ากลยุทธ์อย่างรัม รอสวาล และคลินด์มิได้ทักท้วงอะไรเลย เรมจึงค่อนข้างเชื่อมั่นในคำแนะนำของปู่รอมผู้เคยไล่ต้อนอัลจนมุมมาก่อนแล้ว
ข้อได้เปรียบที่เรมมีอยู่คือตัวเธอมิค่อยได้ปฏิสัมพันธ์กับอัลทั้งก่อนและหลังเสียความทรงจำนัก เขาจึงน่าจะคาดเดาการกระทำของเธอได้ยาก
. ณ แผ่นน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือช่องเขาอักซาดที่ความสูง 5,000 เมตร เรมเหวี่ยงลูกตุ้มหนามเต็มแรงไปยังชิโนบิผมแดง “ยาเอะ เทนเซ่น”
เรมกับเอมิเลียสร้างแผ่นน้ำแข็งยักษ์ขึ้นมาเพื่อบีบให้พวกอัลตกอยู่ในสถานการณ์อิเรกุล่า(ผิดปกติ) แต่ฝั่งอัลเองก็มีตัวตนอิเรกุล่าอยู่เช่นกัน
แทนที่จะผสานลวดมารับมวลของลูกตุ้มหนาม ยาเอะเลือกที่จะตีลังกาไปด้านข้างแบบล้อหมุน ส่งผลให้ลูกตุ้มของเรมพลาดเป้าอย่างเปล่าประโยชน์
เอมิเลีย: นี่แน่ะ!
ทันใดนั้นเองเอมิเลียที่รออยู่ฝั่งตรงข้ามก็ใช้บูทส์น้ำแข็งเตะอัดลูกตุ้มของเรมให้กระดอนกลับไปใส่ยาเอะที่กำลังอยู่ระหว่างท่าตีลังกากลับหัว
ก่อนที่จะโดนลูกตุ้มหนามอัดกระแทกสีข้าง ยาเอะใช้ลวดจากฝ่ามือกรีดผิวหน้าของแผ่นน้ำแข็งออกมาใช้เป็นโล่รองรับแรงกระแทก
โล่ฉุกเฉินช่วยซื้อเวลาได้เพียง 1 วินาทีเท่านั้น ลูกตุ้มหนามเจาะทะลุมันได้อย่างง่ายดาย แต่ 1 วินาทีที่เพิ่มมานั้นเพียงพอแล้วสำหรับยาเอะ
หลังหลบมอร์นิ่งสตาร์พ้น ยาเอะก็พลิกตัวขึ้นไปวิ่งไต่โซ่บุกต่อทันที ทักษะการรักษาบาลานซ์สุดเทพและการย่างเท้าแบบไร้น้ำหนักทำให้สองสาวแน่นิ่งไปชั่วขณะ
. ลูกเล่นน่าทึ่งยังไม่จบเพียงเท่านั้น ยาเอะกระตุกลวดเพื่อดึงเอาอาวุธน้ำแข็งและอาวุธหินที่ลอยค้างอยู่เหนือศีรษะให้ร่วงลงมาเป็นห่าฝน
อาวุธเหล่านั้นคือสิ่งที่หลงเหลือมาจากศึกระหว่างเอมิเลียกับอัลเมื่อ 20 วินาทีก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนี้มันกลับมาแว้งกัดเอมิเลียกับเรมต่อ
เอมิเลีย: เป็นเพราะฉันไม่ได้เก็บกวาดให้เรียบร้อยเอง!
เรม: คุณอัลเองก็ไม่ได้เก็บกวาดเหมือนกันค่ะ!
ยาเอะ: มีเจ้านายที่เก็บกวาดไม่ได้เรื่องจนลำบากกันทั้งสองฝ่ายเลยนะคะเนี่ย?
สองสาวไม่มีเวลาใส่ใจคำพูดยั่วยุที่ฟอลโล่มาด้วย เอมิเลียรับมือกับอาวุธที่ร่วงหล่นด้วยดาบคู่น้ำแข็ง แต่ฝั่งเรมเหลือมือว่างเพียงข้างเดียว
แขนขวาของเธอกำมอร์นิ่งสตาร์เอาไว้ แถมจะพลีพลามดึงกลับก็ไม่ได้เพราะยาเอะยังไต่โซ่อยู่ เรมที่เหลือเพียงแขนซ้ายไว้ป้องกันตัวจึงเข้าตาจน
ทว่า ใครบางคนกลับช่วยผลักไหล่เรมจนเธอรอดพ้นอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด แถมเขาคนนั้นยังหันมาชูนิ้วโป้งให้เรมอย่างกล้าหาญ
เรม: ――สุบารุคุง!
ผู้ที่ช่วยชีวิตเรมเอาไว้คือตุ๊กตาน้ำแข็งรูปร่างหน้าตาเหมือนนัตสึกิ สุบารุ เขาสละชีพจนถูกดาบหินปักทะลุอกและร่างแหลกสลายแทบจะทันที
. รูปปั้นน้ำแข็งนัตสึกิ สุบารุอีกหกคนกระโจนออกมาจากด้านหลังเอมิเลีย พวกเขาหยิบอาวุธที่ปักอยู่บนแผ่นน้ำแข็งขึ้นมาและเข้าไปรุมยาเอะที่อยู่บนโซ่
ชิโนบิผู้ตัวเบาจึงสวนกลับด้วยการตวัดลวดยี่สิบเส้นไปพันธนาการลำคอ ลำตัว และแขนขาเอาไว้ ก่อนที่จะฉีกร่างสุบารุทั้งหกจนเละเป็นชิ้นๆ
ยาเอะ: เสียใจด้วย การสู้กับศัตรูหลายคนเนี่ยของถนัดเลยค่ะ
เอมิเลีย: ――สุบารุ!!
เรม: สุบารุคุง!!
พอเห็นยาเอะวิ่งไต่โซ่เข้าประชิดเธอต่อ เรมจึงรีบปล่อยมือจากโซ่ของมอร์นิ่งสตาร์เพื่อทำให้ยาเอะเสียการทรงตัว จากนั้นก็เตะสวนเข้าไป
ยาเอะย่อสะโพกและปรับองศาเข่าให้บาลานซ์กับสายโซ่ที่หย่อนตัวลง แถมยังเหวี่ยงลวดจากปลายนิ้วหมายรัดคอไม่ก็สะบั้นคอเรมให้ขาด
แต่แล้วโซ่ที่เธอเหยียบอยู่ก็ถูกกระตุกให้กลับมาตึงอีกครั้ง ยาเอะจึงรีบยกเลิกการโจมตีและใช้นิ้วเท้าดีดตัวออกจากโซ่โดยสัญชาตญาณ
ผู้ที่กระตุกโซ่มอร์นิ่งสตาร์คือนัตสึกิ สุบารุน้ำแข็งที่ตัวแตกไปแล้วแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้และช่วยชีวิตเรมไว้อีกรอบ
คนๆ นี้ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ทำตัวบ้าบิ่นเพื่อคนอื่นตลอด
ยาเอะ: ไม่ใช่ตัวจริงสักหน่อยนี่คะ!
เรม: แล้วมันจะทำไมคะ!
ทั้งที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงที่จะรับการโจมตีจากเผ่าโอนิตรงๆ แต่สุดท้ายลูกเตะกลับหลังของเรมก็อัดกระแทกใส่กลางหน้าอกของยาเอะแบบเต็มข้อ
. “อิเรกุล่า” คือสิ่งที่หากก่อตัวขึ้นมากเข้าอาจกลายเป็นภาระที่ทำให้อัลต้องเหนื่อยล้าได้ การขัดขวางสิ่งนั้นจึงเป็นบทบาทที่ยาเอะหมายเติมเต็ม
【โอลบาร์ต: เรื่องนั้นเรอะ? ที่ผ่านมาข้าเองก็เคยประมือกับผู้ที่เหนือชั้นกว่าจนปางตายมาหลายครั้งหลายคราแล้วเหมือนกันแหละน่อ? โลกนี้มันเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดจนน่ารำคาญแท้เชียว ――แต่ท้ายที่สุดคนที่ยังเหลือรอดอยู่ก็มีแค่ตัวข้า เพราะงั้นคนที่ฆ่าไม่ตายน่ะมันไม่มีอยู่หรอกนะ】
【โอลบาร์ต: ถ้าอยู่ในสภาพเต็มร้อยกันทั้งสองฝ่าย มันมักจะเกิดช่องว่างที่ก้าวข้ามไม่ได้ขึ้นมาล่ะนะ เพราะงั้นแหละน่อ การทยอยกลบช่องว่างนั่นทีละนิดถึงได้ต้องอาศัยวิชาแฝงเล่ห์เหลี่ยมที่พวกเราหมั่นขัดเกลา】
【โอลบาร์ต: หากริดรอนสภาพเต็มร้อยไปจากศัตรูได้ล่ะก็ โอกาสในการบั่นคอผู้ที่เหนือชั้นกว่าก็จะมาหาเอง ――นั่นแหละคือเคล็ดลับสู่ความสำเร็จในสายงานอันโชกเลือดของพวกเรา】
นั่นคือคำสอนของ [ผู้เฒ่าอำมหิต] หัวหน้าหมู่บ้านผู้ฝึกฝนวิถีชิโนบิให้แก่เธอ แต่ยาเอะดันแทบไม่ได้ประมือกับศัตรูที่เหนือกว่าตนเองเลย
อัลคือผู้ที่มอบความพ่ายแพ้ครั้งแรกให้แก่ยาเอะ เหตุการณ์นั้นเปลี่ยนวิถีชีวิตของเธอให้บิดเบี้ยว ยาเอะยังคงสั่นกลัวทุกครั้งที่อยู่ใกล้อัล
เธออยากให้เขาหายไปจากชีวิต เพื่อการนั้นแล้วยาเอะจึงมุ่งมั่นที่จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของอัลให้ลุล่วง ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันช่างย้อนแย้ง
นี่คือวิถีทางของยาเอะในการยุติความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอัล ดังนั้นแล้ว การกำจัดอิเรกุล่าให้พ้นทางอัลจึงกลายเป็นจุดมุ่งหมายของเธอ
. ชิโนบินั้นสามารถควบคุมได้กระทั่งกล้ามเนื้อและอวัยวะภายในของตนผ่านการเพ่งจิต ยาเอะใช้ศาสตร์ข้างต้นกระจายความเสียหายจากลูกเตะของเรม
แน่นอนว่ายาเอะมิได้รอดตัวมาแบบโนดาเมจ แขนขาของเธอชาไปหมดเพราะต้องแบกรับความเสียหายที่กระจายมาจากลำตัวที่ลั่นเอี๊ยด
ปกติยาเอะประเมินพละกำลังศัตรูจากท่าทางและการใช้แขนขา แต่เผ่าโอนิที่เสริมแกร่งร่างกายโดยการดูดกลืนมานารอบตัวผ่านเขานั้นแกร่งเกินคาด
ยาเอะ: การแอดลิบ(ด้นสด)ของท่านเอมิเลียก็น่าปวดหัวไม่เบานะคะเนี่ย~
ยาเอะบ่นอิดออดโดยที่ยังคงรักษาสีหน้าเหมือนว่าสบายดีอยู่ ชิโนบิมิเคยเผยข้อมูลให้ศัตรล่วงรู้ นอกเสียจากการเผยข้อมูลปลอมเพื่อปั่นประสาท
เรม: ท่านเอมิเลีย!
เอมิเลีย: อื้อ! มาต่อกันเลย!
โดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ควรที่จะลังเลหลังเห็นว่าการโจมตีเต็มแรงของตนสร้างความเสียหายแทบไม่ได้ แต่สองสาวกลับบุกต่อโดยไร้ความลังเล
ไม่เชิงว่าประมาทเลินเล่อ หากแต่เป็นเพราะพวกเธอพร้อมที่จะทุ่มเทสุดตัว ซึ่งถือว่าน่าปวดหัวไม่เบา
. ลวดทั้งยี่สิบเส้นของยาเอะกระชากดาบน้ำแข็งกับดาบหินให้หมุนควงเข้าไปหาสองสาว แถมเธอยังหว่านลวดที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าดักไว้อีกชั้น
อัลตั้งกฎห้ามสังหารไว้ก็จริง แต่ขอแค่สุดท้ายยาเอะรักษาชีวิตสองสาวไว้ได้ การเฉือนนิ้วมือทิ้งหรือการกุดแขนขาย่อมไม่ผิดกฎ
ทว่า คอมโบเพลย์ของเรมกับเอมิเลียกลับแก้ทางกับดักสองชั้นของยาเอะได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เรมพันโซ่ไว้ที่แขนและใช้ลูกตุ้มหนามทุบในระยะประชิดเหมือนถุงมือเกราะ ส่วนเอมิเลียเปลี่ยนดาบคู่เป็นขวานน้ำแข็งยักษ์เพื่อผ่าลวดเหล็ก
ยาเอะสับสนว่าทำไมเอมิเลียถึงมองเห็นลวดได้ แต่คำตอบมันก็ชัดเจนพอเธอสังเกตเห็นหมอกสีขาวเย็นยะเยือกแสบผิวที่เริ่มก่อตัวขึ้น
ยาเอะ: ――อึก หมอกน้ำแข็ง
ละอองน้ำแข็งที่กระจายไปทั่วส่องประกายยามที่กระทบกับลวดเหล็กจนมองเห็นแนวเส้นได้อย่างชัดเจน ยาเอะสังหรณ์ใจว่าสถานการณ์ยังเลวร้ายได้อีก
เอมิเลีย: ――ไอซิเคิลไลน์
หลังสิ้นสุดคำร่าย บรรยากาศก็ส่งเสียงกรีดร้องจากความเหน็บหนาว ละอองจากหมอกน้ำแข็งเชื่อมเข้าหากัน พร้อมที่จะเคลือบลวดเหล็กให้แข็งทื่อ
พอลวดเหล็กสูญเสียสภาพไร้น้ำหนักและความบาง มันย่อมถูกขยี้ทิ้งได้อย่างง่ายดาย ยาเอะจึงจุมพิตแหวนบนนิ้วเพื่อจุดไฟให้ลามไปทั่วเส้นลวด
แรงระเบิดสร้างคลื่นความร้อนที่ต้านได้กระทั่งอากาศหนาวเย็น ยาเอะยอมสละคุณสมบัติ [มองไม่เห็น] ของลวดเหล็กทิ้งเพื่อแก้ทางหมอกน้ำแข็ง
ยาเอะ: ขอเชิญมาร่วมระบำเพลิงไปด้วยกันนะคะ!
[ซากุระสีชาด] เริงระบำอยู่บนแผ่นน้ำแข็งไปพร้อมกับลวดโลหะติดไฟ เอมิเลีย เรม และสุบารุน้ำแข็งทั้งเจ็ดคนจึงเข้าไปตะลุมบอนเธอ
เรม: น้อมรับคำเชิญค่ะ!
เอมิเลีย: ถ้าเผลอไปเหยียบเท้าเข้าก็ขอโทษด้วยนะ!
. เอมิเลียติดเบลดให้กับบูทส์น้ำแข็งและพุ่งถลาเข้าไปกลางวายุลวดเพลิง เธอจู่โจมด้วยลูกเตะติดใบมีดที่หมุนควงราวกับกำลังร่ายรำ
ส่วนเรมนั้นตั้งแถวสกรัม(แถวพุ่งปะทะ)ร่วมกับเหล่ารูปปั้นน้ำแข็งและเดินหน้าเข้าไปกระหน่ำรัวกำปั้นใส่ยาเอะพลางกู่ร้องคำราม
ทว่า ต่อให้อีกฝ่ายจะมีพละกำลังของโอนิ แต่การส่งแรงผ่านแขนขาก็อ่านทางได้ง่ายอยู่ดี ต่างจากคราว [อสูรดาบ] ที่เร็วเสียยิ่งกว่าการตอบสนองของยาเอะ
ยาเอะสามารถหลบหลีกทุกการโจมตีจากเรมและเอมิเลียได้อย่างพริ้วไหว กลายเป็นว่าตัวอิเรกุล่าคือเหล่ารูปปั้นน้ำแข็งที่เคลื่อนไหวแปลกประหลาด
จริงอยู่ว่ายาเอะน่าจะสามารถยื้อศึกนี้ออกไปได้ แต่แทนที่จะเล่นไปตามเกมของศัตรู เธอขอกลายเป็นตัวอิเรกุล่าในศึกนี้เสียเองดีกว่า
ว่าแล้วยาเอะจึงหลบการโจมตีของเรมกับเอมิเลียแล้วกระโจนขึ้นสู่กลางเวหาโดยอาศัยสุบารุน้ำแข็งที่พยายามจะแทคเคิลเธอเป็นแท่นเหยียบ
ยาเอะส่งลวดจากทั้งมือและเท้าให้กระจายไปทั่วทุกมุมของแผ่นน้ำแข็ง จากนั้นก็ออกแรงบิดตัวสุดกำลังเพื่อหมุนแผ่นน้ำแข็งเป็นลูกข่าง
ยาเอะ: ขอเปลี่ยนซิทูเอชั่นหน่อยนะคะ ได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้ด้วยไหมเอ่ย?
แรงหนีศูนย์กลางมหาศาลก่อกำเนิดขึ้นบนลูกข่างน้ำแข็งยักษ์ ส่งผลให้ทุกคนบนนั้นถูกผลักกระเด็น สเตจต่อไปเริ่มต้นขึ้นแล้ว
. . เอมิเลียเข้าใจว่า [อีเลกูวร่า] หมายถึงสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมาย พวกเธอจึงต้องอาศัย [อีเลกูวร่า] ในการแก้ทางอัล ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาได้คิดวิธีรับมือ
【พัค: ลิอาน่ะพอถึงคราวพินช์(เข้าตาจน)เมื่อไหร่ ก็จะพยายามแก้ปัญหาด้วยการอัดแหลกด้วยแรงที่มีอยู่ทันทีใช่ไหมล่ะ? แต่พอทำแบบนั้นแล้วไม่ได้ผล ก็จะเริ่มคิดหนักไปต่อไม่เป็น …แต่ผมมองว่าการหยุดอยู่แค่นั้นมันไม่เข้าทางหรือเหมาะสมกับลิอาหรอกนะ】
【พัค: ลูกสาวผู้น่ารักของผมน่ะ มีพาวเวอร์ที่จะซัดเปรี้ยงให้ทุกปัญหาหายไปอยู่ล่ะ เพราะงั้นแล้ว แทนที่จะยอมแพ้ตั้งแต่ครั้งแรก ลองพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าดูก่อนไหม?】
【พัค: ไม่ต้องห่วง พอถึงเวลาที่ลิอาจำเป็นต้องลงมือ ร่างกายของลิอาก็จะบอกให้รู้เองแหละ ลิอาคือลูกสาวที่แสนภาคภูมิของผม ก็เลยได้รับสืบทอดพันธุกรรมสุดแกร่งไปด้วยยังไงล่ะ】
ปกติคำพูดของสุบารุคือสิ่งที่เอมิเลียพึ่งพายามคับขัน แต่ในเมื่อปัจจุบันเจ้าตัวตกอยู่ในอันตราย เธอจึงหวนนึกถึงคำสอนของพัคแทน
ผ่านรอยขีดบนร่องเขาไปอีกสอง เท่ากับว่าเหลือเพียง 30 วินาทีก่อนที่แผ่นน้ำแข็งจะร่วงถึงพื้น การขัดขวางของยาเอะทำให้เสียเวลาเกินคาด
เอมิเลียอยากที่จะหยุดยั้งอัล ไม่สิ เธออยากจะคุยกับอัลให้รู้เรื่อง เพราะว่าพริสซิลล่าคงไม่ชอบใจสิ่งที่เขาทำอยู่อย่างแน่นอน
สัญชาตญาณบางอย่างในตัวเอมิเลียยังปรารถนาที่จะช่วยเหลืออัล เธอจึงอยากจะเป็นกำลังให้แก่เขาและมอบโอกาสให้อัลได้ระบายเรื่องพริสซิลล่า
. แรงหนีศูนย์กลางที่ยาเอะสร้างขึ้นด้วยวายุลวดเพลิงส่งผลให้เหล่าทหารน้ำแข็งกระเด็นหลุดออกจากลูกข่างยักษ์และไปชนเข้ากับช่องเขาจนเละ
เคราะห์ดีที่สุบารุน้ำแข็งคนหนึ่งช่วยคว้ามือเธอไว้ก่อนที่จะร่วงหล่น เอมิเลียจึงสเก็ตไปตามพื้นน้ำแข็งเพื่อตามหาเรมที่น่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เอมิเลีย: ――เรมล่ะ
เรมกำลังปะทะกับยาเอะอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง ทว่า ลูกตุ้มที่เรมเหวี่ยงทุ่มลงมาถูกลวดที่ผสานเข้าด้วยกันปัดทิ้ง ยาเอะอาศัยช่องโหว่นั้นเตะอัดเรมทันที
กำลังขาของยาเอะส่งร่างของเรมให้กระดอนและไถลไปตามแผ่นน้ำแข็งที่หมุนควง ขืนไม่มีใครช่วยหยุด รับรองว่าเรมได้ร่วงหล่นเหมือนพวกสุบารุน้ำแข็งแน่
กระนั้นยาเอะก็ไม่คิดจะปล่อยให้ตามไปช่วยเรมง่ายๆ เธอตวัดลวดเหวี่ยงกระบี่ศิลาใส่เอมิเลีย แล้วก็ยังมีลวดเพลิงหวดซ้ำเป็นระลอกสองอีก
ในช่วงเวลาคับขัน เอมิเลียล้มเลิกที่จะใช้ความคิดและเชื่อมั่นสัญชาตญาณตนเองแทน เธอจึงเลือกกางปีกและบินโฉบไปรับตัวเรมก่อนที่จะร่วงหล่น
ยาเอะ: ห๊ะ
เป็นครั้งแรกที่ยาเอะอึ้งจนเผยช่องว่าง นั่นเพราะว่ามีปีกน้ำแข็งงอกออกมาจากแผ่นหลังของเอมิเลีย เธอใช้ปีกคู่นั้นบินไปช่วยเรมได้ทันท่วงที
เรม: ขะ..ขอบพระคุณมากค่ะ ท่านเอมิเลีย …ปีกนั่นมัน?
เอมิเลีย: สุบารุเคยวาดให้เห็นมาก่อนน่ะ สิ่งมีชีวิตมีปีกงอกจากแผ่นหลังที่เรียกกันว่า “นางฟ้า(เทนชิ)” สุบารุเคยพูดถึงเป็นครั้งคราว ก็เลยลองดูแล้วได้ผลด้วย!
. แน่นอนว่าปีกน้ำแข็งมิอาจกระพือเลียนแบบปีกนกของแท้ได้ เอมิเลียจึงทำได้เพียงแค่ถลาไปตามสายลมเท่านั้น แต่สุบารุน่าจะทึ่งเมื่อได้เห็นมัน
เรม: ท่านเอมิเลีย! มาเอาคืนกันเถอะค่ะ!
เอมิเลีย: นั่นสิเนอะ!
พอได้ยินคำว่า “เอาคืน” เอมิเลียก็เข้าใจที่เรมจะสื่อได้ทันที เธอสลัดปีกน้ำแข็งทิ้ง จากนั้นสองสาวที่ร่วงหล่นก็ตอกส้นเท้าใส่แผ่นน้ำแข็งพร้อมเพรียงกัน
แรงปะทะได้เพิ่มการหมุนแนวตั้งเข้าไปในแผ่นน้ำแข็งที่หมุนแนวนอนอยู่แล้ว ยาเอะจึงติดอยู่กลางสนามรบที่หมุนเปลี่ยนทิศตลอดเวลาจนคาดเดาไม่ได้
แผ่นน้ำแข็งกลายเป็นเหมือนกับ [แอทแทรคชั่น(เครื่องเล่น)] ในลานฝึกซ้อมที่สุบารุกับการ์ฟีลสร้างเอาไว้หลังคฤหาสน์รอสวาล
เอมิเลียจึงอาศัยทักษะการทรงตัวพุ่งไถลไปตามแอทแทรคชั่นน้ำแข็ง ส่วนเรมนั้นใช้ลูกตุ้มเป็นคานยึดแล้วค่อยๆ ตามหลังเธอมาแบบช้าๆ แต่มั่นคงกว่า
เอมิเลีย: เด็กคนนั้นล่ะ…
ยาเอะยังคงปักหลักอยู่ตรงกลางแผ่นน้ำแข็งซึ่งเป็นจุดที่แรงหนีศูนย์กลางเบาบางที่สุด แถมเธอยังเฉือนน้ำแข็งออกเป็นหลุมเพื่อสร้างพื้นที่ไร้แรงหมุน
พอเห็นยาเอะที่ย่อเข่าอยู่ในหลุม เอมิเลียก็ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายกำลังดักรอพวกตนอยู่ แล้วทันใดนั้นเอง ประกายจากลวดเหล็กติดไฟก็ถูกตวัดออกมา
. หากมีผู้ใดมองจากมุมบน ก็จะเห็นได้ว่า “ประกายเพลิงสีชาด” ของยาเอะ เทนเซ่นนั้น แท้จริงแล้วก็คือวิชาไออิจากลวดเหล็ก
คงไม่มีใครจินตนาการออกว่าลวดเส้นบางๆ ที่ไร้รูปร่างจะสามารถนำใช้เป็นวิชาไออิได้ [ซากุระสีชาด] ได้ขัดเกลาวิชาลวดเหล็กให้เหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับ
กระทั่งอัลเดบารันก็ยังไม่รู้ว่าชิโนบิยอดอัจฉริยะที่สุดในประวัติศาสตร์จะเก่งขึ้นได้อีก ――เพราะงั้นการที่เรมสามารถปัดป้องการโจมตีนั้นได้จึงเป็นดั่งปาฏิหาริย์
อารมณ์ของมนุษย์นั้นเจือปนอยู่ในมานาด้วย เผ่าที่ตรวจจับมานาได้เก่งอย่างเผ่าวิญญาณจึงสามารถอ่านเจตนาผู้อื่นได้แบบเลือนราง
ยามที่เรมแปลงกายเป็นโอนิ มานารอบตัวจะถูกดูดกลืนเข้ามายังเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เรมพึ่งจะเคยสัมผัสถึงอารมณ์ในมานาได้ชัดเจนขนาดนี้
. ไม่เชิงว่าที่ผ่านมาเรมไม่เคยสัมผัสถึงอารมณ์เหล่านี้ได้ เพียงแต่เธอมิเคยตระหนักถึงความสำคัญของมัน ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย
การได้รับความทรงจำกลับคืนมา ความรู้สึกอยากพาตัวสุบารุกลับมาให้ได้ แต่ปัจจัยหลักก็คือวันคืนที่ใช้ร่วมกับพริสซิลล่าในนครล้อมกำแพงกัวลาล
ช่วงนั้นพริสซิลล่าคอยมอบโจทย์ให้เรมคิดตามและพัฒนาตนเอง ตอนนี้เธอเริ่มเข้าใจมันแล้ว แต่เรมคงจะหมดโอกาสเทียบคำตอบที่แท้จริงไปชั่วชีวิต
เรม: ――ตอนนี้ อยากจะคุยกับคุณเหลือเกินค่ะ คุณพริสซิลล่า
เรมหลับตาลงเพื่อข่มความเศร้าโศก ความเดียวดาย และความปวดร้าว แล้วพอเธอลืมตา พรสวรรค์ในฐานะเผ่าโอนิของเรมก็ตื่นขึ้นมา
ทั้งจิตมุ่งร้าย จิตสังหาร และเจตจำนงค์ในการจู่โจมเจือปนกับมานาจนเห็นเป็นสีสันเด่นชัด เพราะงั้นเรมจึงเขวี้ยงลูกตุ้มเหล็กไปดักทางวิชาอิไอของยาเอะได้
มอร์นิ่งสตาร์และประกายลวดปะทะกันจนดังกังวาล แรงสะท้อนส่งมาถึงฝ่ามือ กระนั้นเรมกับเอมิเลียก็รอดตัวมาจากการถูกผ่าขาดครึ่งได้อย่างหวุดหวิด
ยาเอะอึ้งจนอ้าปากค้างไปเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาตั้งท่าเตรียมจู่โจมต่อเนื่อง กระนั้นเรมก็สัมผัสถึงจิตสังหารล่วงหน้าได้ก่อนที่การโจมตีจะเกิดขึ้น
ประกายสีเงินนับไม่ถ้วนถูกดักทางไว้ได้หมดโดยลูกตุ้มเหล็ก สายโซ่ และเวทมนตร์ ในชั่วพริบตานั้นเรมอดมิได้ที่จะรู้สึกจรรโลงใจ
“อา นี่เองสินะทิวทัศน์ที่เผ่าโอนิที่แท้จริงมองเห็น”
ถึงแม้จะตามหลังอยู่เกินกว่า 10 ปี แต่ในที่สุดเรมก็เริ่มย่างก้าวเข้าไปยังขอบเขตความสามารถที่รัมสามารถทำได้ตั้งแต่ถือกำเนิด
. เอมิเลีย: ――เรม!!
เอมิเลียร้องตะโกนขึ้นมาระหว่างที่เรมกำลังรับมืออยู่กับวายุลวดเพลิง น้ำเสียงของเธอแฝงไปด้วยความร้อนรน ราวกับว่าสถานการณ์เลวร้ายขึ้น
เอมิเลีย: อัลไม่อยู่แล้วล่ะ! หายไปไหนก็ไม่รู้!
เรม: ――เฮือก
เป็นดังที่เอมิเลียเอ่ย อัลหายตัวไปจากด้านใต้แผ่นน้ำแข็งที่กำลังหมุนควง แต่พอเงยหน้ามองขึ้นฟ้าแทน เรมก็เหลือบไปเห็นเงาคนลอยตัวอยู่ห่างออกไป
ในจังหวะที่เรมกับเอมิเลียกระทืบแผ่นน้ำแข็งให้มันหมุนเป็นแนวตั้ง อัลได้แอบเกาะขอบเอาไว้แล้วอาศัยเรียงเหวี่ยงในการสลับตำแหน่งไปด้านบน
จากนั้นเขาก็สร้างปีกขึ้นจากหินแล้วร่อนถลาไปกับสายลมอยู่เหนือช่องเขาอักซาด หากอัลหนีไปได้ทั้งแบบนี้ ปฏิบัติการก็จะล้มเหลว
เอมิเลีย: ――เรม
ในจังหวะที่ต้องตัดสินใจในชั่วพริบตา สองสาวได้จ้องตากัน เจตจำนงค์ของเอมิเลียถูกส่งผ่านมานาไปยังเรมโดยที่มิต้องเอ่ยปากพูด
นอกจากจิตมุ่งร้ายแล้ว เขาของเผ่าโอนิก็ยังสัมผัสอารมณ์ด้านบวกอย่างความเชื่อใจและความคาดหวังได้ด้วย สิ่งนั้นได้กลายเป็นกำลังให้แก่เรม
เอมิเลีย: ――ไปก่อนนะคะ!
เรม: ไปดีมาดีค่ะ!!
เรมซัดเข้าใส่แผ่นน้ำแข็งอย่างรุนแรงเพื่อเพิ่มแรงหมุนแนวตั้งและส่งเอมิเลียขึ้นไปบนฟากฟ้า เอมิเลียสยายปีกน้ำแข็งออกมาและบินไล่ตามหลังอัลไป
เรม: ――ไม่ปล่อยให้ตามไปหรอกค่ะ
ยาเอะ: นั่นมันคำพูดของทางนี้ต่างหากค่า~
เหลือเพียงแค่สองเมดที่ประจันหน้ากันอยู่บนแผ่นน้ำแข็ง รอยขีดบนช่องเขาอักซาดบ่งชี้ว่าเหลือเพียงแค่ 20 วินาทีก่อนที่จะถึงพื้น
ศึกชี้ชะตาระหว่างเรมกับยาเอะ ระหว่างโอนิกับชิโนบิ ระหว่าง [ผู้ดูแลของวีรชน] และ [ซากุระสีชาด] ได้เริ่มต้นขึ้น
. จบตอน