webnovel arc9 chapter6

บทที่ 9 ตอนที่ 6 "ออกเดินทาง"

ตัวตนของเด็กสาวตาสีฟ้านั้นถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า จิตใจของเธอสร้างรูปลักษณ์ขึ้นมาเป็นภาชนะหลังจากที่ได้สัมผัสความอบอุ่นของแสงสว่างที่อยู่ใกล้ๆ

แรกเริ่มเธอถูกอีกฝ่ายเมินเฉยและตีตัวออกห่าง แต่สุดท้ายเขาก็เห็นความสำคัญ แถมยังตั้งชื่อให้แก่เธอ เด็กสาวจึงมองเขาเป็นแบบอย่างในชีวิต

ตลอดช่วงชีวิตสั้นๆ เด็กสาวได้เห็นการตัดสินใจสำคัญของผู้มีพระคุณมามากมาย ทั้งการตัดสินใจที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ดีและผลลัพธ์ที่มิได้ปรารถนา

เด็กสาวตั้งมั่นว่ามันถึงเวลาแล้วที่ตัวเธอเองจะต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ เพื่อที่ “นัตสึกิ สุบารุ” จะได้ไม่นึกเสียใจที่เลือกยอมรับตัวตนของเธอ

วินเซนต์: ――นึกไม่ถึงเลย ว่าเจ้าจะมีเรื่องที่อยากจะคุยกับเราผู้นี้อยู่ด้วย

เด็กสาวแวะไปเยี่ยมหาชายผมดำอีกคนหนึ่งผู้ผ่านการตัดสินใจครั้งสำคัญมากมายในชีวิตเช่นกัน เขานั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่มีเอกสารกองอยู่เพียบ

ชายผมดำมีเวลาว่างไม่มากนัก แต่เขายินยอมที่จะช่วยทำตามความต้องการของเด็กสาว ตราบใดที่มันคู่ควรกับผลงานที่เธอได้สร้างไว้

จักรพรรดิคาดเดาว่าจุดประสงค์ของเด็กสาวคือการให้เขาไปเยี่ยมหาสุบารุที่จิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเพื่อช่วยกล่อม แต่เจ้าตัวมองว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาที่สมควร

เด็กสาวส่ายหน้าปฏิเสธ เธอมาพบจักรพรรดิผมดำเพื่อคุยเรื่องอื่น อีกอย่าง เธอเชื่อมั่นว่าสุดท้ายสุบารุจะต้องลุกกลับขึ้นมาได้อย่างแน่นอน

วินเซนต์: เช่นนั้น มีธุระเรื่องอะไรล่ะ?

สปิก้า: ――อู!

ตัวตนที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต โดยเลือกที่จะบอกมันแก่ชายผมดำผู้เข้าใจความหนักหนาของการตัดสินใจครั้งนี้ที่สุดเป็นคนแรก

. ในที่สุดวันที่สุบารุและเหล่าสมาชิกฝ่ายเอมิเลียต้องออกเดินทางไปจากจักรวรรดิวอลลาเคียก็มาถึง เช้าวันนั้นมีฝนตกทั้งที่ปกติวอลลาเคียอากาศแจ่มใสตลอด

จนถึงท้ายที่สุด สุบารุก็ยังไม่ใช่คุ้นชินกับประเทศแห่งนี้ที่เขาเกลียดเหลือเกิน กระนั้นเขากลับไม่ได้เกลียดชังผู้คนที่พบปะในดินแดนแห่งนี้เลย

สุบารุบอกลา “ฟล็อป โอคอนเนล” หนึ่งในผู้มีพระคุณคนสำคัญที่สุดที่เขาได้พบในจักรวรรดิ

ฟล็อปเข้ามากอดสุบารุและขอบคุณที่การพบเจอของทั้งสองนำพาโชคลาภมาสู่พี่น้องโอคอนเนล แล้วก็อวยพรให้สุบารุและคนที่เขารักพบเจอแต่สิ่งดีๆ

ฟล็อป: ถ้าหากว่าได้มาที่จักรวรรดิอีกล่ะก็ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ติดต่อหากันได้เสมอเลยนะ กลับกัน ถ้าเกิดว่าผมได้ไปที่ราชอาณาจักรล่ะก็ คงต้องขอพึ่งพานายหน่อยนะ! อยากจะเป็นกำลังให้เหลือเกิน!

ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกันจนถึงช่วงจากลา ฟล็อปไม่เคยสูญเสียรอยยิ้มร่าเริงที่สดใสดุจตะวันยามเที่ยงเลย การได้พบเจอกับพี่น้องโอคอนเนลในจักรวรรดิแต่เนิ่นๆ คือความโชคดีที่สุดของสุบารุไม่ผิดแน่

สุบารุ: ――อา ที่ต้องขอบคุณมันทางพวกชั้นต่างหากล่ะ คุณฟล็อป! รักนะ!

. หลังจากลากับฟล็อปเสร็จ เร่มเอ่ยทักขึ้นว่าถ้าเกิดสุบารุพูดคำว่า “รัก” พร่ำเพรื่อเกินไป น้ำหนักของคำมันจะเบาบางลง

แต่สุบารุเห็นต่างออกไป เขามองว่าตนเองใช้คำนั้นเฉพาะกับบุคคลที่คู่ควรอยู่แล้ว

เรม: งั้นเหรอคะ? กับคุณเอมิเลียกับเบียทริซจังก็ด้วยเหรอ?

สุบารุ: เบียโกะน่ะบอกรักทั้งเช้าสายบ่ายเย็นอยู่แล้ว แต่กรณีเอมิเลียตันน่ะมันแอบพูดยากอยู่หน่อย… อา แต่รู้สึกว่าเคยบอกรักท่านพี่ไปด้วยแหละ

เรม: หา?

สุบารุ: ขอประทานอภัย สถานการณ์มันพาไปน่ะครับ แต่มันมีเหตุสำคัญที่ต้องพูดออกไปจริงๆ นะครับ

สุบารุโม้ว่าลูกผู้ชายน่ะทั้งชีวิตร้องไห้ให้คนอื่นเห็นได้แค่สามครั้งเท่านั้น ซึ่งปกติคู่สนทนาต้องถามต่อว่าสามครั้งที่ว่าคืออะไรบ้าง แต่เรมไม่เล่นด้วยและตัดบทไป

ทางฝั่งเรมได้บอกลากับคาชัวที่เป็นเพื่อนชาวจักรวรรดิเรียบร้อยแล้ว ทั้งสองสัญญาว่าจะแลกจดหมายกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้เรมจะยังเขียนจดหมายไม่ได้ก็ตาม

แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่เนื้อหาของจดหมาย เพราะเพียงแค่การส่งจดหมายถึงกันก็เป็นการบ่งบอกแล้วว่าอีกฝ่ายให้ความสำคัญกับตนเพียงใด

. สุบารุกับเรมเดินไปหา “สปิก้า” ต่อ สุบารุอุตส่าห์เรียกชื่อเธอและอ้าแขนรอ แต่สปิก้ากลับเลือกโผเข้าไปกอดเรมแทน

พอนึกย้อนดูแล้ว การผจญภัยในจักรวรรดิวอลลาเคียก็เริ่มต้นขึ้นจากความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงระหว่างสุบารุ เรม และสปิก้า

ทั้งสามมีความสัมพันธ์แบบค้อน กรรไกร กระดาษ สุบารุแพ้ทางเรม เรมแพ้ทางสปิก้า และสปิก้าแพ้ทางสุบารุ

ในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ของทั้งสามก็กำลังจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากว่าสปิก้าตัดสินใจจะอยู่ที่จักรวรรดิวอลลาเคียต่อ ไม่กลับราชอาณาจักรกับพวกสุบารุ

ระหว่างที่สุบารุกำลังติดพันอยู่กับการลงโทษตัวเองด้วย [สปาร์ก้า] สปิก้าก็แอบไปปรึกษาวินเซนต์และตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเธอเอง

ถึงแม้ว่า [มหาภัยพิบัติ] จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ผีดิบที่ถูกสร้างขึ้นจากกลไกของนังแม่มดสฟิงซ์ก็ยังมีบางส่วนที่หลบหนีไปกบดาลอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในจักรวรรดิ

สปิก้าจึงตั้งใจที่จะใช้อำนาจ [กินดารา] ส่งดวงจิตของเหล่าผีดิบที่หลงเหลืออยู่กลับสู่ “โอโด ลากูน่า” ให้ครบทั้งหมด

สุบารุลองโน้มน้าวให้สปิก้าเปลี่ยนใจมาเกือบสิบครั้งแล้ว แต่ก็ไม่เคยสำเร็จสักรอบ เขาจึงยังเคืองวินเซนต์ไม่หายที่ตกลงช่วยเหลือสปิก้าในภารกิจนี้

เรมมองว่าเรื่องนี้เป็นความตั้งใจของสปิก้าเอง วินเซนต์ไม่ได้บีบบังคับเธอ สุบารุจึงไม่ควรจะขัดขวาง แถมสปิก้ายังปรึกษากับมีเดียมไว้ก่อนแล้วด้วย

. วินเซนต์ได้มอบหมายเซซิลุสกับอาราเคียให้ช่วยเหลือภารกิจของสปิก้า ทั้งคู่คือผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งจักรวรรดิวอลลาเคีย แถมอาราเคียที่กลืนมุสเปลเข้าไปยังสามารถระบุตำแหน่งของพวกผีดิบได้

กระนั้นสุบารุก็กังวลไม่ได้อยู่ดีว่าเซซิลุสอาจจะเป็นอิทธิพลด้านลบต่อพัฒนาการเรียนรู้ของสปิก้า อาราเคียเองก็เคยสร้างทรอม่า(แผลใจ)ไว้ให้สุบารุด้วยเวทวารีของเธอ

สปิก้าโผเข้ามากอดสุบารุต่อเพื่อปลอบใจให้เขาเลิกกังวล เรมเองก็เศร้าใจที่ต้องแยกห่างจากสปิก้าเช่นกัน แต่เธอเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจนั้น

สุบารุให้คำแนะนำสปิก้าว่าหากมีปัญหาอะไรให้ไปปรึกษาฟล็อปกับมีเดียม และให้สองคนนั้นช่วยเรื่องการเขียนจดหมายด้วย

ที่สำคัญคือต้องอย่าโหมงานหนักหรือเร่งรีบจนเกินตัว ดังกฏเหล็กที่สุบารุยึดถือ ซึ่งคือการทำทุกสิ่งตาม “มายเพส(จังหวะที่ตัวเองถนัด)”

สุบารุชื่นชมการตัดสินใจใช้พลังในทางที่ถูกของสปิก้าเป็นการทิ้งท้ายและบอกว่าเขาจะรอคอยวันที่ทั้งสามได้กลับมาอยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง

สปิก้า: ――อูอาอู(สุบารุ)! เออู(เรม)!

เรม: …จ๊ะ สปิก้าจัง

สปิก้าลากแขนสุบารุไปด้วยกันและยื่นมืออีกข้างหนึ่งให้เรม นับตั้งแต่ที่มาถึงจักรวรรดิ ทั้งสามคนพึ่งมีโอกาสได้เดินจับมือเคียงข้างกันเช่นนี้โดยที่มีสปิก้าอยู่ตรงกลาง แถมดันพึ่งมาทำวันสุดท้ายในจักรวรรดิอีกต่างหาก

บรรยากาศทำให้ทั้งสามหลุดหัวเราะออกมา นี่คือจุดจบของเรื่องราวในจักรวรรดิที่สุบารุ เรม และสปิก้าเป็นผู้ริเริ่มมันขึ้นมา

. สุบารุทำการบรรจุสัมภาระขึ้นรถลาก แล้วในระหว่างที่เขากำลังลูบคอพาทรัชอยู่ จักรพรรดิแห่งวอลลาเคียก็แวะมาทักทายและลาส่งพวกเขาด้วยตนเอง

วินเซนต์: ――เด็กสาวคนนั้นจะได้สลัดทิ้งตำแหน่งบิชอปมหาบาปเจ้าปัญหาทิ้งเสียที ภาระบนบ่าของเจ้าเองก็คงเบาบางลงด้วยเช่นกัน

สุบารุ: เอ็งเนี่ยน้า …ขอร้องจากใจจริงเลย อย่าได้โดนกบฏโค่นล้มบัลลังก์แล้วเปลี่ยนผู้ปกครองแบบทันทีทันใดเชียวล่ะ เบื่อที่จะต้องลำบากลำบนถ่อมาช่วยเอ็งแล้ว

วินเซนต์: เจ้าคนเขลา ความช่วยเหลือจากเจ้ามันไม่จำเป็นอีกแล้ว รีบไสหัวกลับราชอาณาจักรไปเสีย

สุบารุ: ไอ้เวรตะไลนี่

วินเซนต์: ตัวเจ้าเองก็คงมีสิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำอยู่ อย่าได้ลำดับความสำคัญผิดเป็นอันขาด

จนถึงท้ายที่สุด วินเซนต์ก็ยังพูดจาเหน็บแนมเก่งไม่เปลี่ยน แต่คราวนี้คำพูดของเขามันมีนูอานซ์(ความแตกต่างที่สลักสำคัญ)จากทุกทีอยู่

ที่ผ่านมาวินเซนต์ใช้ชีวิตเพื่อเตรียมการที่จัเอาชนะ [มหาภัยพิบัติ] ตามคำทำนายของ [นักอ่านดารา] มาโดยตลอด

หลังจากนี้เป็นต้นไป “วินเซนต์ วอลลาเคีย” จะได้ใช้ชีวิตและปกครองประเทศโดยที่ไม่มีอะไรมาผูกมัดเสียที แถมเขายังมีพี่น้องโอคอนเนลคอยช่วยเหลือด้วย สุบารุจึงอุ่นใจไปเปลาะหนึ่ง

. วินเซนต์ให้สัญญาว่าเขาจะมอบกิตติศัพท์ที่เหมาะสมต่อผลงานช่วยเหลือจักรวรรดิของสปิก้า เพื่อช่วยกลบชื่อเสียงด้านลบของตัวตนในอดีตอย่างแน่นอน

ผู้คนมีสิทธิ์ที่จะเกลียดชังเธอในฐานะอดีตบิชอปมหาบาป แต่เด็กสาวก็มีสิทธิ์ที่จะกอบกู้ชื่อเสียงและมีชีวิตใหม่ในฐานะ “สปิก้า” เช่นกัน

วินเซนต์: จำไว้ให้ดี นัตสึกิ สุบารุ หมาป่าดาบแห่งจักรวรรดิเทวาวอลลาเคียน่ะมิเคยลืมบาดแผลที่ตนได้รับ ไม่ว่าบาดแผลนั้นจะมาจากความเกลียดชังหรือมิตรภาพก็ตาม

สุบารุ: อาเบล…

วินเซนต์: หากต้องการสิ่งใดก็ขอมาได้เลย ทั้งเจ้าและผู้ที่ร่วมเดินเส้นทางเดียวกับเจ้าน่ะ ต่างก็เป็นสหายหมาป่าดาบของเราไม่ต่างกัน

คำพูดประโยคนั้นคือการเปิดใจอย่างแท้จริงของ “วินเซนต์ วอลลาเคีย” ผู้มิเคยกัมหัวหรือเผยจุดอ่อนต่อใคร มันก้องกังวาลไปถึงหัวใจของสุบารุจนเขารู้สึกขนลุก

. หลังจากที่วินเซนต์กล่าวทิ้งท้ายให้สุบารุก้าวเดินบนเส้นทางของตนอย่างมั่นคง เขาก็เดินหันหลังจากมาเพื่อมุ่งหน้าไปยังรถมกรที่พวกเอมิเลียรออยู่

สมาชิกหน่วยรบเพลอาเดสแห่กันมายืนห้อมล้อมเพื่อลาส่งเช่นกัน ณ วินาทีแรก สุบารุกลืนน้ำลายเพราะนึกว่าพวกเขามาเพื่อคิดบัญชี 673 หมัดที่ยังค้างอยู่

ทว่า เหล่าชายฉกรรจ์กลับพากันยืนเรียงแถวหน้ากระดานสองฝั่งและชูมือข้างหนึ่งออกมาประหนึ่งเป็นซุ้มต้อนรับ สุบารุเข้าใจสิ่งที่เหล่าสหายตั้งใจจะสื่อทันที เขาจึงกลั้นน้ำตาไว้แทบไม่อยู่

สุบารุ: รักนะ ทุกคน!

ว่าแล้วสุบารุจึงวิ่งเข้าไปยังซุ้มต้อนรับของเหล่าสหายและไล่แปะมือที่ยื่นออกมาเพื่อทำการเคลียร์บัญชีที่ค้างไว้แบบรวดเดียวจบ

บ้างก็แปะมือ บ้างก็ตบหลัง บ้างก็ชนกำปั้น ทุกคนต่างอย่างมีส่วนร่วมจนมันเกิน 673 รอบที่ค้างอยู่

กุสตาฟ: กระผมเองก็สนุกมากเช่นกัน

อิโดร่า: เพราะนายแท้ๆ ลูกชายเจ้าของโรงสีข้าวธรรมดาถึงมีความฝันได้!

เฮียอิน: บ้าเอ๊ย บ้าเอ๊ย! ขอบใจมากเลยนะ ชวาร์ซ!

ไวส์: อย่าได้ลืมเด็ดขาด… ว่าพวกเราน่ะคือ… พวกพ้องของเจ้า!

สุบารุ: เข้าใจแล้ว

. สุบารุฝ่าวงล้อมมาจนสุดทางและพบทันซ่ากับยอร์น่ายืนรอเขาอยู่ โดยที่ทันซ่ากลับมาเรียกสุบารุว่า “ท่านชวาร์ซ” ตามที่เธอคุ้นชินอีกครั้ง

สุบารุ: คุณยอร์น่า ขอขอบคุณสำหรับหลายๆ เรื่องเลย แล้วก็…

ยอร์น่า: ไม่จำเป็นต้องขอโทษเจ้าค่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น เป็นเรื่องระหว่างข้าน้อยกับเด็กคนนั้นเอง …ไม่ว่าเมื่อไร ก็แวะมาหากันได้ตลอดเลยนะ หากเป็นท่านก็ยินดีที่จะต้อนรับอยู่เสมอเจ้าค่ะ

สุบารุคุกเข่าลงไปคุยกับทันซ่าในระดับสายตาเดียวกัน เพราะสำหรับเขาแล้ว ทันซ่าคือผู้มีพระคุณคนสำคัญที่สุบารุมิอาจตอบแทนบุญคุณได้

เนื่องจากคำพูดของทันซ่าจากลูปที่ถูกรีเซ็ตไปแล้วที่ว่า “ครั้งต่อไป จะไม่แพ้แน่นอน” ได้กลายเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้สุบารุไม่ยอมแพ้ในเส้นทางกอบกู้วอลลาเคีย

สุบารุ: รักนะ ทันซ่า

ทันซ่า: …ขืนยังพูดพล่อยแบบนั้นต่อไป เดี๋ยวก็ได้เสียใจทีหลังหรอกค่ะ ท่านชวาร์ซ

สุบารุ: เรมก็พูดคล้ายกันเลย ถ้ามีเวลามากกว่านี้ล่ะก็ พวกเธอสองคนอาจจะสนิทกันก็ได้… แต่ขืนเป็นแบบนั้น มีหวังชั้นได้โดนสายตาเย็นชาจ้องเขม็งจนตายพอดีน่ะสิ!

ทันซ่า: อย่าตื่นตระหนกตามใจชอบแล้วก็ตายตามใจชอบแบบนั้นสิคะ …อีกอย่าง ขืนตั้งแง่เหมือนว่านี่คือการจากลาครั้งสุดท้าย เดี๋ยวมันจะแว้งกัดท่านชวาร์ซเอานะคะ

สุบารุ: หืม? ที่พูดนั่นหมายความว่าไงน่ะ?

ทันซ่า: อีกไม่นานก็เข้าใจเองค่ะ

ระหว่างที่สุบารุกำลังงงกับคำพูดของเธอ ทันซ่าก็แปะมือกับสุบารุและตัดบทบอกลาเขาเพียงเท่านั้น สุบารุจึงลูบหัวเธอแล้วเดินจากมา

. สุบารุเดินไปรวมตัวกับสปิก้าและเรมที่ยืนรออยู่หน้ารถมกร สุบารุกับสปิก้ากอดกันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเงยหน้าไปคุยกับเซซิลุสต่อ

สุบารุ: จริงจังนะ ฝากดูแลสปิก้าด้วยล่ะ เซสซี่

เซซิลุส: ออลไรต์ครับ บอส!

สุบารุไฮไฟว์กับเซซิลุสผู้ที่ทั้งน่าเป็นห่วงและพึ่งพาได้ จากนั้นก็หันหลังกลับไปมองหน้าเหล่าสหายจักรวรรดิทุกคนเป็นครั้งสุดท้าย

สุบารุ: ไว้เจอกันใหม่นะ ทุกคน! ――วิคตอรี่!!

ทุกคน: ――วิคตอรี่!!

สุบารุและสมาชิกหน่วยรบเพลอาเดสต่างชูมือขึ้นฟ้าและกู่ร้องพร้อมเพรียงกันจนดังกึกก้อง แม้แต่เหล่าสหายที่ไม่รู้คิวยังหัวเราะชอบใจตามๆ กัน

วินเซนต์: ――จนถึงท้ายที่สุดเลยนะ ไอ้เจ้ายอดคนเขลาไร้มารยาทที่หาผู้ใดเทียบมิได้

นั่นคือภาพการจากลาสุดแสนวุ่นวายที่กระทั่งจักรพรรดิแห่งวอลลาเคียยังอดคอมเมนต์ไม่ได้

. ระหว่างที่โดยสารรถมกรกลับลูกุนิก้า สุบารุก็ยังอดเป็นห่วงสปิก้าไม่ได้จนเบียทริซเอ่ยตำหนิว่าสปิก้ายังมองเห็นความเป็นจริงมากกว่าเขาอีก

เรมกับรัมรุมเหน็บแนมสุบารุที่เคยทำตัวเย็นชากับสปิก้ามาก่อน แล้วดันพึ่งมาเป็นห่วงเหลือเกินเอาป่านนี้ คอมโบแฝดรุมด่าทำเอาสุบารุเถียงไม่ออกเลย

ส่วนออตโต้นั่นโล่งใจกับการตัดสินใจของสปิก้า เพราะถ้าหากเธอกลับลูกุนิก้าด้วยกัน ออตโต้คงจำเป็นต้องจับเธอขังเอาไว้ในกล่องแล้ว

อย่างน้อยทั้งทางจักรวรรดิและฝ่ายอนาสตาเซียก็มีส่วนร่วมในการตัดสินใจครั้งนี้แล้ว ผู้คนจึงไม่สามารถโยนความผิดให้ฝ่ายเอมิเลียฝ่ายเดียวได้ หากมีอะไรเกิดขึ้น

การ์ฟีลทำใจรับได้หากสปิก้าจะมาเข้าร่วมเป็นพรรคพวกหลังจัดการปัญหาซอมบี้เสร็จ เพราะตัวเขาก็เคยเกือบฆ่าสุบารุตายก่อนจะกลายมาเป็นพวกกัน ดั่งสำนวน “วีนูเอลจุ่มสองอย่าง”

สุบารุชื่นชมความใจกว้างของการ์ฟีลพลางชนกำปั้นกัน ซึ่งทำให้ออตโต้โวยวายเรื่องการขาดความรับผิดชอบของทั้งสองคน เรียกได้ว่าสามหนุ่มกลับมาเป็นดังเดิมหลังพ้นภาระจากการกอบกู้จักรวรรดิแล้ว

. เอมิเลีย: ทุกคนร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกันอยู่แล้วล่ะเนอะ

เอมิเลียเอ่ยขึ้นพลางเอื้อมมือมากุมมือข้างหนึ่งของเขาและจดจ้องสุบารุด้วยสายตารักใคร่ ซึ่งทำให้หัวใจของสุบารุเต้นรัวขึ้น

สุบารุรู้สึกโล่งใจเหลือเกินที่ไม่มีเพื่อนคนใดถามเลยว่าเขา “สบายดีไหม” เพราะสภาพเขาในตอนนี้ไม่ปกติอยู่แล้ว

ทั้งเศร้าซึมและเจ็บปวด แต่เพื่อนๆ ต่างก็เข้าใจดีโดยที่ไม่จำเป็นต้องบอก

สุบารุ: ขอบคุณนะ เอมิเลีย ――ที่มาช่วยชั้น

เอมิเลีย: อื้อ

สุบารุ: ขอบคุณนะ ทุกคน ――ที่มาช่วยพวกเรา

สุบารุเอ่ยขอบคุณเพื่อนๆ ที่อุตส่าห์ข้ามพรมแดนมายังดินแดนแห่งอสุราหรือก็คือจักรวรรดิวอลลาเคีย เพื่อช่วยเหลือเขากับเรม

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะเป็นไปตามที่เขาหวังเอาไว้ เรื่องที่เขาไม่สามารถช่วยรักษาชีวิตของพริสซิลล่าเอาไว้ได้ก็เช่นกัน

แต่สุดท้าย รอยยิ้มที่หยิ่งพะยองและไร้ความเกรงกลัวของเธอกลับกลายเป็นสิ่งที่สลักอยู่ในความทรงจำของนัตสึกิ สุบารุอย่างชัดแจ้งที่สุด

. ปัจจุบันรอสวาลกำลังโดยสารอยู่บนรถมกรอีกขบวนที่มีอดีตสมาชิกฝ่ายพริสซิลล่าอยู่ เพื่อที่เขาจะได้ให้คำปรึกษาเรื่องอนาคตของอาณาเขตตระกูลบาริเอล

สุบารุมองว่าตัวเองโชคดีที่มีเพื่อนๆ ร่วมฝ่ายให้พึ่งพา บุคคลที่น่าเป็นห่วงของจริงคืออีกคนหนึ่งที่ได้เห็นวาระสุดท้ายของพริสซิลล่าและโอบกอดร่างเธอจนสลายหายไป

สุบารุ: ――อัล

สุบารุใช้ [สปาร์ก้า] ลงโทษตัวเอง วินเซนต์ทุ่มเทให้แก่ภาระงานเพื่อลืมความเศร้า ต่างคนต่างหาทางเติมเต็มช่องโหว่จากการสูญเสียเธอคนนั้น

แต่ว่า “อัลเดบารัน” เลือกที่จะหมกตัวอยู่แต่ในห้องพักอย่างเดียว จนกระทั่งเขามีเป้าหมายใหม่ที่ทำให้อยากเดินทางกลับราชอาณาจักรลูกุนิก้า ซึ่งก็คือ…

[อัล: ――พี่น้อง มีเรื่องอยากขอร้องหน่อย พอดีแอบได้ยินมา เรื่องของหอคอยแห่ง [นักปราชญ์] น่ะ อยากที่จะอ่านหนังสือที่บันทึกเรื่องราวของคนตายซึ่งมีอยู่ภายในหอคอยแห่งนั้นให้ได้เลยล่ะ]

สุบารุ: …[คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของพริสซิลล่า

บอกยากว่าการทำเช่นนั้นจะถือเป็นการย่ำยีความปรารถนาของพริสซิลล่าไหม กระนั้นเขาก็ยังอยากที่จะหาหนทางช่วยเหลืออัลซึ่งจมอยู่ในความสิ้นหวังให้จงได้อยู่ดี

สุบารุ: ขอยืมพลังของเธออีกสักครั้งจะได้ไหมนะ ชอล่า

เพราะว่าการเดินทางกลับไปยังหอคอย ณ สุดขอบทะเลทรายแห่งนั้นคือหนทางเดียวที่สุบารุสามารถชดเชยให้แก่อัลได้ นอกเหนือจากการพึ่งพา [ตายแล้วกลับมา]

. จบตอน