เมลี่: ได้ยินมาแล้วน้า พี่สาวผมฟ้าคนนั้นลืมตาตื่นแล้วใช่ไหมล่า? พี่ชายเฝ้าเป็นห่วงมาตั้งน้านนาน คงจะโล่งใจแล้วละซี่?
สุบารุ: อา ความรู้สึกตื้นตันใจแสนสดใหม่ตอนที่เรมลืมตาตื่นน่ะ จนถึงตอนนี้ก็ยังจำได้อยู่เลย ความรู้สึกตอนที่ถูกหักนิ้วหลังจากนั้นก็ยังจำได้
เมลี่: …เดี๋ยวก่อนน้า เพทร่าจัง พี่ชายเขาเพี้ยนขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่บินหายไปหรือเปล่าเนี่ย~?
เพทร่า: เอ่อ ก็แบบว่า มันเกิดอะไรขึ้นหลายอย่างน่ะ เรื่องมันต้องเล่ายาวสักหน่อย มีทั้งตอนแต่งหญิง ทั้งตอนที่ตัวจิ๋วลงเท่าเบียทริซจังเลยด้วย…
เมลี่: เหอ?
เรื่องราวการผจญภัยในจักรวรรดิของสุบารุมันน่าเหลือเชื่อหากได้ยินเป็นครั้งแรก แต่กระทั่งเบียทริซที่รู้เรื่องราวทั้งหมดยังสับสนไม่หายว่าสุบารุแต่งหญิงอีกรอบทำไม
สุบารุจึงค้านขึ้นว่าการแต่งหญิงของตัวเขา วินเซนต์ และฟล็อปคือ “เบสต์แพลน” ในสถานการณ์นั้นแล้ว แต่สาวน้อยทั้งสามก็ยังคงทำใจเชื่อไม่ลง
.
หลังเมลี่สั่งนมเย็นมากิน เธอก็ย้ายมานั่งทางด้านขวาของสุบารุแทนที่เบียทริซซึ่งเปลี่ยนไปนั่งตักเขาแทน ส่วนเพทร่านั่งอยู่ฝั่งซ้ายตามเดิม
เมลี่สงสัยว่าสุบารุกล้ากลับมาที่หอคอยซึ่งเป็นต้นเหตุของความปั่นป่วนโดยที่ไม่กลัวว่าตัวเองอาจจะปลิวหายไปไหนอีกรอบได้อย่างไร
แต่สุบารุมองว่าสาเหตุที่เขาถูกส่งจักรวรรดิวอลลาเคียเกิดขึ้นจากอิเรกุล่าร์(ความผิดปกติ)ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นซ้ำสองอีกแล้ว ซึ่งก็คือ “สปิก้า” ที่ปรากฎตัวขึ้นในห้องเขียว
สุบารุ: ――เพนัลตี้(บทลงโทษ)จากการปริปากถึง [ตายแล้วกลับมา] ที่ทำงานผิดพลาด
ก่อนหน้านี้สุบารุเคยสารภาพเกี่ยวกับ [ตายแล้วกลับมา] กับเอคิดน่าภายในปราสาทแห่งความฝัน แล้วพอออกมาโลกภายนอกก็พบว่า [แดนศักดิ์สิทธิ์] ถูกกลืนหายไปหมด
สถานการณ์ผิดปกติที่หอสังเกตการณ์เพลอาเดสก็คงคล้ายกัน “รุย อาร์เน็บ” ได้รับรู้เกี่ยวกับ [ตายแล้วกลับมา] ภายใน [โถงแห่งความทรงจำ]
พอ “สปิก้า” ปรากฎตัวที่ห้องเขียว [แม่มดแห่งริษยา] ที่เข้าใจผิดว่าเด็กสาวคือรุย จึงพยายามที่จะกำลังเธอทิ้งเป็นบทลงโทษ
แต่แล้วเปลวเพลิงของ [มังกรเทพ] วอลคานิก้าที่ปะทะเข้ากับเงาดำก็ก่อเกิดเป็นสนามพลังที่เป่าพวกสุบารุไปโผล่ไกลถึงจักรวรรดิวอลลาเคีย
สุบารุไม่แน่ใจว่าการที่เขาไปโผล่ ณ ป่าแบดไฮม์เป็นเพียงเรื่องบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของ [แม่มดแห่งริษยา] ไม่ก็ [มังกรเทพ]
ทว่า [แม่มดแห่งริษยา] ได้คลาดกับสุบารุจนกระทั่งเขาเรียกหาเธอที่เกาะทาสดาบ จึงพอคาดเดาได้ว่า “ซาเทล่า” มิได้ตั้งใจส่งสุบารุไปจักรวรรดิ
.
หลังสุบารุและซาเทล่ากลับมารวมตัวกันอีกครั้ง [ตายแล้วกลับมา] ก็หายจากอาการทำงานผิดปกติ แถมความรู้สึกของสุบารุที่มีต่อ [แม่มดแห่งริษยา] ยังเปลี่ยนไป…
เบียทริซ: ――สุบารุ? แววตาดูไม่จืดเชียวกระมัง
ตอนนั้นเองที่เบียทริซทักขึ้นพร้อมใช้นิ้วจิ้มตรงกลางระหว่างคิ้วของสุบารุ คงเป็นเพราะว่าเธอสังเกตเห็นเขาแสดงสีหน้าแปลกๆ อยู่
สุบารุคุ้นชินแล้วกับการถูกคนอื่นทักว่าแววตาเขาดุ ไม่น่าคบ แต่สาวน้อยทั้งสามต่างพากันชมแววตาของสุบารุ รวมทั้งเมลี่ที่เปรียบเปรยว่าแววตาเขาน่ารักเหมือนพวกสัตว์มาร
ช่วงที่พวกสุบารุไม่อยู่ เมลี่ได้โอกาสเจรจากับคนใหญ่คนโตของราชอาณาจักรเพื่อขอชดเชยความผิดในอดีตด้วยการใช้พลังของเธอนำทางฝ่าเนินทรายออกุเลียไปยังหอสังเกตการณ์เพลอาเดส
ซึ่งผลลัพธ์ก็สำเร็จลุล่วงด้วยดี เหล่าสภาปราชญ์จึงได้มอบอิสรภาพให้แก่เมลี่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพทร่าดีใจมากถึงขนาดเอื้อมแขนไปกุมมือกับเมลี่
สุบารุกับเบียทริซที่ยังคงนั่งคั่นสาวน้อยทั้งสองอยู่ตรงกลางจึงพากันร่วมแปะมือแสดงความยินดีต่อเมลี่
.
สุบารุขอบคุณความตั้งใจไถ่โทษของเมลี่ ซึ่งทำให้สาวน้อยเขินจนเธอเผลอหลุดปากว่า “อยากโดนผลักตกลงไปอีกหรือไง!?”
ความทรงจำในลูปเก่าตอนที่เคยตกบันไดตายทำให้สุบารุเสียวสันหลังวาบชั่วขณะ แน่นอนว่าปัจจุบันเขาไม่ได้ติดใจอะไรแล้ว แต่เพทร่าที่ได้ยินเรื่องนั้นไม่ยอมปล่อยผ่านง่ายๆ
เพทร่ารัวคำถามใส่เมลี่ราวกับสอบปากคำพลางกุมมือเธอแน่นไม่ให้หนีไปไหน เมลี่พยายามขอความช่วยเหลือจากสุบารุ แต่ทั้งเขาและเบียทริซต่างเห็นพ้องว่าเมลี่ควรได้รับบทเรียนเรื่องนี้ก่อน
ว่าแล้วสุบารุกับเบียทริซจึงถอยเก้าอี้ออกมาจิบนมอยู่ห่างๆ พลางชมเพทร่าที่รุกเข้าหาเมลี่ด้วยสายตาดุดันจนเธอน้ำตาไหล
เบียทริซ: โล่งอกไปทีที่ช่วยเมลี่เอาไว้ได้ในตอนนั้นนะยะ
สุบารุ: ขอบใจนะ
.
ตัดไปทาง “การ์ฟีล ทินเซล” ผู้รับหน้าที่เฝ้ารถมกรให้ระหว่างที่พวกสุบารุกำลังไปซื้อเสบียงในเมืองมิรูล่า ปัจจุบันการ์ฟกำลังสอดส่องภายในตัวรถเพื่อดูอาการของ “อัล”
ในฐานะเมมเบอร์หลักด้านการต่อสู้ของกลุ่ม การ์ฟีลได้แบกรับความคาดหวังที่จะต้องช่วยคุ้มครองสุบารุ เบียทริซ และเพทร่าให้พ้นจากภยันตรายทั้งหลาย
เดิมทีการ์ฟีลก็เป็นหนอนหนังสือตัวยงตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่ [แดนศักดิ์สิทธิ์] เขาชอบอ่านประวัติของเหล่าวีรชนทั้งหลาย เช่น [ชีวประวัติเรด แอสเทรอา]
การ์ฟีลเลยได้ตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้อ่าน [คัมภีร์แห่งผู้วายชนม์] ของเรดและบุคคลสำคัญอีกมากมายภายในหอสังเกตการณ์เพลอาเดส
แต่ก็เพราะงั้นแหละ การ์ฟีลจึงรู้สึกว่าตัวเขาไม่มีสิทธิ์ไปหักห้ามความปรารถนาของอัลที่อยากจะอ่านคัมภีร์แห่งผู้วายชนม์ของพริสซิลล่า
ว่าแล้วการ์ฟีลก็โยนกระติกน้ำให้แก่อัลและเตือนให้เขาหมั่นดื่มน้ำ ฝ่ายอัลจึงรับกระติกน้ำเอาไว้ ง้างเปิดหมวกเหล็ก แล้วกระดกน้ำดื่มอึกใหญ่เพื่อดับกระหาย
.
อัลขอโทษที่คำร้องขอของเขาทำให้พวกสุบารุต้องแยกทีมกัน แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทำตัวไร้ความผิดชอบและหนีหายไปอย่าง “ตาลุง” คนหนึ่ง
ตาลุงคนที่ว่าก็คือ “ไฮน์เคล แอสเทรอา” ซึ่งหายตัวไปหลายวันก่อนที่พวกการ์ฟีลจะเดินทางออกจากจักรวรรดิ
การ์ฟีลพยายามช่วยตามหาแล้ว แต่จำนวนคนเข้าออกเมืองที่มหาศาลก็ทำให้การจับกลิ่นล้มเหลว เอมิเลียเองก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เพราะเธอมองว่าตนเองอาจมีส่วนทำให้ไฮน์เคลหายไป
การ์ฟีล: นี่เอ็งน่ะ ไม่ห่วงลุงเขาบ้างรึไงฟะ
อัล: หืม อา จะว่าห่วงมั้ยก็ห่วงแหละ แต่ก็เพราะว่าชั้นกับตาลุงแก่พอๆ กันทั้งคู่ล่ะนะ ตาลุงด้วยกันมันก็ต้องเป็นห่วงกันอยู่แล้วอ่ะเนอะ?
การ์ฟีล: อายุมันเกี่ยวตรงไหนล่ะว้อย! พวกพ้องก็ต้องเป็นห่วงกันอยู่แล้วสิฟะ พอมาคิดดูดีๆ แล้ว ทั้งเบียทริซ ทั้งท่านเอมิเลีย แล้วก็คุณยายอายุเกินร้อยกันหมดเลยนี่หว่า!
อัล: ก็จริงแหละ ขืนกลุ่มของพี่น้องให้วัดลำดับความอาวุโสตามอายุมีหวังมึนหัวกันหมดแหง อ้อ ทุกอย่างที่เจ้าหนุ่มพูดมาก็คิดว่ามันถูกอยู่แหละนะ? แต่ว่า…
การ์ฟีล: ไรฟะ
อัล: โทษที พอดีว่าตอนนี้ทุกอย่างมันท่วมท้นตัวชั้นไปหมดเลยน่ะ
อยู่ดีๆ อัลก็โค้งคำนับขอโทษจนการ์ฟีลไปต่อไม่เป็น เขานึกถึงเรื่องที่ออตโต้เตือนไว้ว่าอัลกับสุบารุคือผู้ที่บอบช้ำจากความตายของพริสซิลล่ามากที่สุด
สุบารุได้ลงโทษตัวเองด้วย [สปาร์ก้า] แต่สุดท้ายก็ตระหนักรู้ถึงสิ่งสำคัญที่แท้จริงผ่านความช่วยเหลือของพวกพ้องรอบกาย
ทว่า ทางฝั่งอัลนั้นยังมิได้รับ [บางสิ่ง] ที่คล้ายๆ กันเลย ทั้งที่สภาพในปัจจุบันบ่งชี้ว่าอัลต้องการมันมากพอๆ กับสุบารุหรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
.
ในช่วงแรกที่พวกสุบารุยังไม่ได้ตอบตกลง อัลตั้งใจจะฝ่าเนินทรายออกุเลียสุดแสนทรหดเพื่อไปให้ถึงหอคอยด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ
การปล่อยให้อัลไปคนเดียวจึงไม่ได้ต่างอะไรจากปล่อยให้เขาไปตายอย่างเปล่าเปลี่ยว ซึ่งนั่นอาจจะเป็นความตั้งใจของเจ้าตัวเองก็ได้ กระนั้นพวกการ์ฟีลก็ไม่อยากเสียใครเพิ่มอีกแล้ว
การ์ฟีลเคยจมอยู่ในความสิ้นหวังมาก่อน แต่เขาได้สุบารุ รัม และพวกออตโต้ช่วยเอาไว้ ครั้งนี้เขาจึงอยากจะเป็นกำลังให้แก้ผู้อื่นบ้าง ทั้งอัลและไฮน์เคล
คลินด์: ――ดูเหมือนว่าบรรยากาศภายในรถลากจะค่อนข้างซึมเซา “อึมครึม”
ทันใดนั้นเองที่ประตูรถมกรถูกเปิดออกโดยชายผมสีกรมท่าที่สวมโมโนเคิล(แว่นตาเลนส์เดียว) เขาเป็นบุคคลที่พวกการ์ฟีลนัดเจอที่เมืองมิรูล่าอยู่แล้ว
การ์ฟีล: อยู่ดีๆ อย่าทำให้คนอื่นเขาสะดุ้งสิฟะ นึกว่าเป็น [เสียงสายลมแห่งวูซูร์] ซะอีก
คลินด์: ขอประทานอภัย ทว่า หากคำนึงถึงบทบาทของคุณแล้วล่ะก็ การที่รับมือกับสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายมิได้จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาหรอกหรือ? “ท้วงติง”
การ์ฟีล: กรอด ระ…เรื่องนั้นมันก็…
คลินด์: ขอประทานอภัยอีกครั้ง เมื่อครู่จู้จี้เกินไปหน่อยขอรับ “สำนึกผิด”
“คลินด์” เอ่ยเช่นนั้นพลางชูนิ้วขึ้นมาที่ริมฝีปากและขยิบตาให้แก่การ์ฟีล
.
คลินด์คือพ่อบ้านของคุณหนู “แอนเนโรเซ่ มิโลด” ผู้เป็นญาติของรอสวาล เขามีบรรยากาศประหลาดที่ยากจะหยั่งถึงอยู่เสมอ แถมยังไม่ค่อยถูกชะตากับเฟรเดริก้านัก
คลินด์ได้พาตัว “เมลี่” ซึ่งจำเป็นต่อการเดินทางข้ามทะเลทรายมาส่งแบบตรงตามเวลานัดหมายเป๊ะทั้งที่ระยะห่างไกลระดับข้ามประเทศ
การ์ฟีลเดาว่าคลินด์สามารถใช้เวทมนตร์ข้ามมิติบางอย่างที่ทำงานคล้ายกับเวท “ข้ามประตู” ได้ เขาจึงถือเป็น MVP ของฝ่ายในการช่วยเหลือสุบารุกับเรมเลยก็ว่าได้
คลินด์: ส่วนท่านเมลี่นั้น มุ่งหน้าไปหาพวกท่านสุบารุแล้วขอรับ เพื่อที่จะรายงานเรื่องการมาถึง กระผมเลยแวะมาดูที่รถมกร “น่าชื่นชม”
การ์ฟีล: ขอบใจมาก จะว่าไป รวดพาท่านเอมิเลียกับพี่ออตโต้มาด้วยเลยไม่ได้งั้นเรอะ?
คลินด์: ขอประทานอภัยเป็นอย่างสูง ค่าชดเชยที่นายท่านยอมจ่ายในการแทรกแซงครั้งนี้จำกัดอยู่แค่การพาพวกท่านสุบารุกลับมาจากจักรวรรดิเท่านั้น การพาเมลี่มาส่งด้วยเช่นนี้ถือเป็นการช่วยโอนอ่อนให้มากแล้วครับ “สัตย์จริง”
ท่าทางการโค้งคำนับของคลินด์บ่งชี้ว่ามีเหตุผลจำเป็นที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของเจ้าตัวจริงๆ การ์ฟีลจึงเดาว่าพลังของคลินด์มีข้อจำกัดบางอย่างอยู่และไม่คิดจะล้วงถามมากไปกว่านั้น
.
การ์ฟีล: ไม่ได้มีแค่พวกเราอย่างเดียวนะเฟ้ย นี่คุณอัล ขอแนะนำให้รู้จักหน่อย หมอนี่ “คลินด์” หนึ่งในพวกพ้องของพวกเรา คนสนิทของไอ้เวรรอสวาลน่ะ
คลินด์: ช่างรู้สึกน่าขนลุกอะไรเช่นนี้ แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธ ขอบใจสำหรับการแนะนำตัว ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รู้จัก ชื่อ “คลินด์” ขอรับ ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย “คำนับ”
การ์ฟีลถือโอกาสแนะนำคลินด์ให้อัลได้รู้จัก แม้จะแอบติดใจที่คลินด์พยายามปฏิเสธเรื่องที่เขาสนิทกับรอสวาล ทั้งที่ทั้งสองคบค้าสมาคมกันมาเนิ่นนาน
ตอนนั้นเองที่การ์ฟีลพึ่งรู้ตัวความผิดปกติอีกอย่าง…
คลินด์: ――ท่านอัล? “เคลือบแคลงใจ”
คลินด์ขมวดคิ้วด้วยความฉงน เนื่องจากว่าอัลไม่ยอมตอบกลับการแนะนำตัวของเขา แถมยังมัวแต่จ้องหน้าคลินด์แบบเงียบเชียบ
การ์ฟีลมองไม่เห็นสีหน้าภายใต้หมวกเหล็กของอัลก็จริง แต่เขาพอจะอ่านบรรยากาศได้ว่าอัลกำลังประหลาดใจหรือไม่ก็รู้สึกสับสนอยู่
การ์ฟีล: ไรฟะเนี่ย? คลินด์รู้จักคุณอัลด้วยเรอะ?
คลินด์: ――เปล่าเลย ขอประทานอภัยด้วย นึกไม่ออกเลยขอรับ ท่านอัล เคยพบกับกระผมที่ไหนสักแห่งมาก่อนหรือเปล่า? “ยืนยัน”
คลินด์คือสุดยอดพ่อบ้านผู้เป็นอาจารย์ที่สอนทั้งเฟรเดริก้า รัม และสุบารุ ถึงจะไม่น่าแกร่งเท่าการ์ฟีล แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
เพราะงั้นการ์ฟีลจึงไม่กังขาเรื่องความทรงจำของคลินด์เลยสักนิด อย่างน้อยฝั่งคลินด์น่าจะไม่รู้จักหรือจำอัลไม่ได้จริงๆ ส่วนอัลนั้น…
อัล: ――ม่ายอ่ะ ไม่เห็นรู้จักเลยเฟ้ย ชั้นกับนายพึ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรกไม่ผิดแน่
การ์ฟีล: …ถ้างั้น ที่เงียบเหมือนมีอะไรในกอไผ่เมื่อตะกี้มันคืออะไรฟะ
อัล: โทษที แค่ขี้เกียจจดจำอะไรใหม่ๆ น่ะ ――บอกว่าชื่อคุณคลินด์ใช่มั้ย ชั้นชื่ออัล พอดีว่าติดหนี้บุญคุณพี่น้องกับพวกพ้องของนายอยู่น่ะ
คลินด์: เป็นเกียรติอย่างยิ่งขอรับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนับแต่นี้เป็นต้นไปขอรับ “ถาวร”
อัล: ถาวรมันก็นานเกินไปนะเฟ้ย ฝากตัวด้วยๆ
การ์ฟีล: …มันอะไรกันฟะเนี่ย
การ์ฟีลรู้สึกว่าท่าทีของอัลดูแปลกไป แต่โอกาสที่จะทักเรื่องนั้นก็ผ่านพ้นไปแล้ว ในเมื่อคลินด์พาเมลี่มาให้ ปัญหาเรื่องสัตว์มารก็ถือว่าหมดไป
กระนั้นเส้นทางสู่หอคอยก็ยังคงมีอุปสรรคอื่นอยู่ เช่น [ห้วงเวลาทราย] ที่คราวก่อนต้องพึ่งพาพลังของเอมิเลียและยุลิอุสเพื่อฝ่าฝันเข้าไป
ว่าแล้วการ์ฟีลจึงชกกำปั้นเข้ามากันพลางตะโกนปลุกใจตัวเองว่าเขาจะปกป้องสุบารุและพวกพ้องทุกคนให้จงได้
.
เมลี่: เอาละค่า~ มาถึงโดยสวัสดิภาพ โล่งอกไปทีที่คราวนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย~
สุดท้ายกลุ่มของสุบารุก็เดินทางฝ่าเนินทรายออกุเลียไปถึงประตูหน้าหอคอยได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่มันเป็นเส้นทางสุดทรหดที่การ์ฟีลได้ยินว่ากระทั่ง [นักดาบเทวา] ยังต้องยอมแพ้
การ์ฟีล: โฮก…
ผลลัพธ์ที่ควรน่าดีใจดันทำให้สีหน้าของเจ้าเสือหนุ่มเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง
.
จบตอน